เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2025 ฮั่วเซ่งเฮง โพสต์ข้อความบนเฟสบุ๊กว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศใช้มาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากคู่ค้าทั่วโลกถึง 69 ประเทศ โดยมาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 7 ส.ค. 2568 นี้ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรการกีดกันทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี
มาตรการภาษีนำเข้าครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อหลายประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศคู่ค้าสำคัญกับสหรัฐฯ เช่น แคนาดา (ภาษี 35%) สวิตเซอร์แลนด์ (ภาษี 39%) และไต้หวัน (ภาษี 20%) นอกจากนี้ยังรวมถึงกลุ่มประเทศ BRICS ที่แสดงท่าทีต่อต้านนโยบายของทรัมป์ เช่น บราซิล (ภาษี 50%) แอฟริกาใต้ (ภาษี 30%) และอินเดีย (ภาษี 25%) อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ยังคงยกเว้นภาษีสินค้าสำคัญบางประเภทจากบราซิล
สำหรับประเทศพันธมิตรที่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับทรัมป์ เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 15% เท่ากัน ขณะที่เม็กซิโกได้รับการผ่อนผันออกไปอีก 90 วันเพื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจาต่อไป
ฮั่วเซ่งเฮง ประเมินว่าสถานการณ์ราคาทองคำมีแนวโน้มจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว โดยได้แรงหนุนจากสองปัจจัยคือ เงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้น และความเสี่ยงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าที่ยังไม่จบลงโดยง่าย
โดยปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อ ฮั่วเซ่งเฮงวิเคราะห์ว่า การเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงขึ้นจะส่งผลให้ราคาสินค้านำเข้าในสหรัฐฯ แพงขึ้น ส่งผลให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อสูงขึ้นตามไปด้วย สอดคล้องกับรายงานของ Fitch Ratings ที่คาดการณ์ว่าอัตราภาษีนำเข้าที่แท้จริง (Effective Tariff Rate) ของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 2.3% ในปี 2567 ไปสู่ระดับ 17% ในปี 2568 ซึ่งการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อนี้จะส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และกระตุ้นให้นักลงทุนหันมาถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
นอกจากนี้ จุดที่น่าจับตามองอย่างยิ่งคือ ท่าทีของทรัมป์ที่มีต่อจีน โดยเฉพาะการตัดสินใจว่าจะขยายเวลาออกไปเพื่อชะลอภาษีศุลกากรตอบโต้อีกหรือไม่ ก่อนครบกำหนดในวันที่ 12 ส.ค.นี้
หากสหรัฐฯ และจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ก่อนเส้นตายดังกล่าว จะส่งผลให้ความเสี่ยงด้านสงครามการค้าเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นในระยะถัดไป
ฮั่วเซ่งเฮงมองว่า การประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้าของทรัมป์ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาดการค้าโลกและส่งผลให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญต่อราคาทองคำในระยะยาว ดังนั้น นักลงทุนจึงควรติดตามสถานการณ์ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประเด็นการขยายเวลาเส้นตายในวันที่ 12 ส.ค.นี้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ