ฮั่วเซ่งเฮง มองราคาทองคำในปี 2569 ยังมีแนวโน้มขึ้นต่อ อาจไม่ร้อนแรงเท่าปีนี้ คาดอาจแตะระดับ 4,700 ดอลลาร์ 

ในงานสัมมนา SCB WEALTH: Holistic Wealth Forum 2025  หัวข้อ “Golden Portfolio Defense in a Volatile Era” ทองคำ สมอเรือแห่งพอร์ตการลงทุนยุคผันผวน ที่จัดโดย SCB WEALTH นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง กล่าวว่า ราคาทองคำในปี 2569 ยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อ แม้ความร้อนแรงอาจไม่เทียบเท่าปีนี้ แต่ยังได้รับแรงหนุนจากปัจจัยสำคัญหลายด้าน ทั้งความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ ความกังวลต่อภาระหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ และกระแส De-dollarization ที่ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกเดินหน้าซื้อทองคำเพิ่มในทุนสำรองอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าราคาทองคำในปี 2569 อาจแตะระดับ 4,700 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ อย่างไรก็ตาม แนะนำให้นักลงทุนทยอยสะสม ช่วงที่ราคาย่อตัว เช่น บริเวณ 3,875 -3,900 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ และไม่ควรไล่ซื้อเมื่อราคาขึ้นแรงเพื่อบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

“ทองคำยังเป็นสมอเรือที่มั่นคงที่สุดในยุคพายุเศรษฐกิจและราคายังมีโอกาสแตะ 4,700 ดอลลาร์ฯ ในปี 2569” นายธนรัชต์ กล่าว

ด้านนายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การซื้อขายทองคำในสกุลเงินบาทและดอลลาร์สหรัฐฯให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกัน เนื่องจากมีความผันผวนของค่าเงินบาทเข้ามาเกี่ยวข้อง สำหรับในปี 2569 คาดว่า เงินบาทจะมีความผันผวนต่อเนื่อง อาจเคลื่อนไหวในช่วง 31-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ หากนักลงทุนต้องการกระจายความเสี่ยงสกุลเงิน สามารถเปิดบัญชีเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศ (Foreign Currency Deposit :FCD) เพื่อเปิดโอกาสเข้าถึงการลงทุนในสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯโดยตรง หรืออาจลงทุนผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ออกแบบมาเพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีการสัมมนา ในหัวข้อ ANCHOR มุ่งเน้นการสร้างเสถียรภาพ และการวางแผนส่งต่อความมั่งคั่งอย่างเป็นระบบ ภายใต้หัวข้อ  “Reframing Business Succession: Protecting Family Wealth from Internal Storms”เป็นช่วงสุดท้ายที่เจาะลึกการส่งต่อธุรกิจและความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญของธุรกิจครอบครัวไทย เพื่อปกป้อง Family Wealth ไม่ให้สั่นคลอนจากพายุภายในครอบครัว นางสาวสุธิดา มงคลสุธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดของการส่งต่อธุรกิจให้ประสบความสำเร็จคือการมีเป้าหมายร่วมกันในครอบครัว และการมอบอำนาจการตัดสินใจอย่างชัดเจนให้ผู้สืบทอดที่พิสูจน์ศักยภาพแล้ว  พร้อมมองว่า Family Office คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ครอบครัวสื่อสารกันได้ดีขึ้น ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางจัดการทั้งความสัมพันธ์และการส่งต่อ Wealth ในระยะยาว

นายนิติกานต์ รามนัฏ ทนายความหุ้นส่วนจากเบเคอร์ แม็คเค็นซี่ เปิดเผยว่า Family office ไม่ได้เป็นเพียงผู้ดูแลสินทรัพย์ แต่ยังช่วยบริหารการลงทุนที่ซับซ้อนในหลายประเทศ และเติมเต็มความเชี่ยวชาญที่ครอบครัวยังขาด หนึ่งในเครื่องมือสำคัญคือ “ธรรมนูญครอบครัว”  ซึ่งเกิดจากความเห็นพ้องร่วมกันของสมาชิกในครอบครัว  แม้ข้อตกลงในธรรมนูญครอบครัวอาจไม่มีผลทางกฎหมายทั้งหมด แต่บางข้อ เช่น ข้อตกลงไม่ทำธุรกิจแข่งขัน มีผลผูกพันทางกฎหมาย และสามารถใช้บังคับได้ และข้อตกลงบางข้อในธรรมนูญครอบครัว เช่น ข้อตกลงเกี่ยวกับการจำกัดการโอนหุ้นในบริษัทครอบครัว ก็สามารถนำไปกำหนดไว้ในข้อบังคับของบริษัทเพื่อให้มีผลผูกพันบุคคลภายนอกได้ นอกจากนี้ การจัดโครงสร้างแบบ Holding Company ยังช่วยกำกับการโอนหุ้นและทิศทางการบริหารธุรกิจครอบครัวในระยะยาวได้อีกด้วย

ดร.นิติ เนื่องจำนงค์ ผู้อำนวยการอาวุโส Wealth Planning and Family Office ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ความขัดแย้งในครอบครัวมักเริ่มจาก “การไม่มีเป้าหมายเดียวกัน” และ “ความเข้าใจระหว่างกันที่คลาดเคลื่อน” ซึ่งอาจจะยิ่งรุนแรงเมื่อผู้ก่อตั้งวางมือจากธุรกิจครอบครัว  ความเกรงใจของสมาชิกในครอบครัวอาจยิ่งทำให้ปัญหาเรื้อรัง เพราะไม่มีใครกล้าสื่อสารตรงไปตรงมา Family Office จึงมีบทบาทสำคัญในการให้คำแนะนำผู้ที่สามารถทำหน้าที่ “ผู้ไกล่เกลี่ยที่เป็นกลาง” ช่วยบริหารความคาดหวัง เสริมสร้างความสัมพันธ์ และป้องกันปัญหาก่อนจะลุกลามสู่ความขัดแย้งที่ใหญ่ขึ้น

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles