กระทรวงการคลังเกาหลีใต้ออกแถลงการณ์ในวันนี้ (2 ม.ค.) ว่าทางกระทรวงฯ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวเพียง 1.8% ในปี 2568 หลังจากที่ขยายตัว 2.1% ในปี 2567 โดยตัวเลขดังกล่าวลดลงจากที่กระทรวงฯ ได้คาดการณ์ไว้ในเดือน ก.ค. ว่าเศรษฐกิจในปี 2567 จะขยายตัว 2.2% และเศรษฐกิจในปี 2568 จะขยายตัว 2.6% โดยการปรับลดการคาดการณ์ดังกล่าวถือเป็นการตอกย้ำว่าเศรษฐกิจเกาหลีใต้เผชิญแรงกดดันจากการบริโภคในภาคเอกชนที่อ่อนแอลง และแรงขับเคลื่อนการส่งออกที่ชะลอตัวลง
กระทรวงการคลังเกาหลีใต้ระบุว่าความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นทั่วโลกเป็นหนึ่งในความเสี่ยงสำคัญที่เกาหลีใต้กำลังเผชิญ โดยความต้องการชิปหน่วยความจำมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลดลง ขณะที่การแข่งขันกันระหว่างกลุ่มประเทศที่พึ่งพาการส่งออกทวีความรุนแรงขึ้น นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับเม็ดเงินที่ไหลออกไปยังสหรัฐฯ และสถานการณ์ทางการเมืองของเกาหลีใต้นั้น มีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไป
การปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ลงอย่างมาก สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบของการที่ประธานาธิบดียุน ซอกยอล ประกาศใช้กฏอัยการศึกโดยมิชอบ และความไม่แน่นอนจากแผนภาษีศุลกากรของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีต่อเศรษฐกิจเกาหลีใต้ซึ่งต้องพึ่งพาการค้า
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เกาหลีใต้กำลังเผชิญกับผลกระทบจากการประกาศกฎอัยการศึกในช่วงเวลาสั้นๆ ของ ปธน.ยุนเมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ปีที่แล้ว ซึ่งส่งผลให้เขาถูกถอดถอนและระงับการปฏิบัติหน้าที่ การตัดสินใจที่เหนือความคาดหมายของ ปธน.ยุนทำให้เกาหลีใต้ตกอยู่ในวิกฤตการณ์ด้านรัฐธรรมนูญที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษ และบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน
เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.ที่ผ่านมา ศาลเกาหลีใต้ได้อนุมัติการออกหมายจับปธน.ยุน และอนุมัติการค้นบ้านพักของ ปธน.ยุน หลังจากที่เขาปฏิเสธหมายเรียกสอบปากคำถึงสามครั้ง ส่งผลให้ยุน ซอกยอล กลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกของเกาหลีใต้ที่ถูกออกหมายจับขณะดำรงตำแหน่ง