KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP)
เปิดเผยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินทั่วโลกผ่อนคลายความกังวลในเรื่องสงครามการค้าได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง เพราะหลังจากศาลการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีคำสั่งยับยั้งการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ในวันเดียวกัน และศาลได้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวระหว่างพิจารณาคำอุทธรณ์ของรัฐบาล ทำให้ยังสามารถเก็บภาษีต่อได้จนกว่าจะมีคำตัดสินใหม่ออกมา
ในประเด็นนี้ สุดท้ายคงต้องไปจบกันที่ศาลสูงสหรัฐฯ ที่จะต้องใช้เวลาอีกสักพัก แต่หลายฝ่ายก็เริ่มมีความหวังว่า มาตรการภาษีตอบโต้ของทรัมป์ อาจต้องเจออุปสรรคอีกหลายเรื่อง หรือในที่สุด อาจจะไม่สามารถดำเนินการได้เลย
โดย KKP มองว่า ต้นตอของปัญหาที่แท้จริง คือการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ที่เชื่อมโยงไปยังการขาดดุลการคลัง หรือที่เรียกว่า Twin deficits โดยปัญหานี้ ท้ายที่สุดยังอาจเชื่อมโยงไปถึงความน่าเชื่อถือของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยในปัจจุบัน การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีมูลค่าสูงถึงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ส่งผลให้หากสหรัฐฯ ไม่มีมาตรการลดการขาดดุลที่ชัดเจน สหรัฐฯ จะมีแนวโน้มที่ต้องก่อหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อจ่ายค่านำเข้าสินค้าจากการขาดดุลในระดับสูง
ขณะที่ ปัญหาหลักของการค้าโลกในปัจจุบัน ไม่ใช่ “สงครามการค้า” แบบในช่วง 1930 แต่เป็น “ความไม่สมดุลทางการค้า” ระหว่างประเทศผู้ซื้อกับประเทศผู้ขาย หรือเรียกอีกแบบหนึ่ง คือ ความไม่สมดุลระหว่าง “ประเทศที่บริโภคมากเกินไป” (over-consume) กับ “ประเทศที่บริโภคน้อยเกินไป” (under-consume) โดยปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันแตกต่างจากในอดีต เพราะประเทศเศรษฐกิจหลักในอดีตส่วนใหญ่ มีการเกินดุลทางการค้า เมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ทุกประเทศที่เป็นผู้ขาย จึงตั้งกำแพงภาษี และลดค่าเงิน เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งของตลาดโลก ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสงครามระหว่างผู้ขายหลายราย
ในสถานการณ์ปัจจุบัน สหรัฐฯ เป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของโลก สะท้อนจากการขาดดุลทางการค้าของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูงที่สุดในโลก แต่การที่ขาดดุลการค้าในระดับสูง พร้อมกับการก่อหนี้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังมีการบริโภคโดยรวมที่มากเกินไป ในทางตรงกันข้าม ประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะจีน มีการเกินดุลทางการค้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอยู่ในระดับที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเกิดจากอุปสงค์ในประเทศมีความอ่อนแอ ทำให้หากจีนต้องการขยายภาคการผลิตต่อเนื่องในอนาคต จำเป็นต้องอาศัยตลาดต่างประเทศเป็นแหล่งรับซื้อสินค้า ซึ่งสะท้อนว่าเศรษฐกิจจีนและประเทศอื่น ๆ ในโลกมีการบริโภคที่น้อยเกินไป
ประเด็นนี้ เป็นประเด็นสำคัญที่สหรัฐฯ กำลังเน้นย้ำว่า ในระยะยาว ประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะจีน ควรปรับสมดุลทางเศรษฐกิจ โดยการเพิ่มอุปสงค์ในประเทศให้มากขึ้น เพื่อลดความไม่สมดุลของการค้าโลก โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อย่างไรก็ตาม การที่จะร่วมมือกันไปถึงจุดนั้น ไม่ใช่เรื่องนี้ที่สามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้น เพราะการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ อาจส่งผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ต่างกันไปในแต่ละกลุ่ม ซึ่งทำให้อาจมีเสียงคัดค้านในการเปลี่ยนแปลงได้
ทั้งนี้ KKP มองว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน คาดว่าจะเต็มไปด้วยอุปสรรคในระยะสั้น และอาจใช้เวลานานกว่าจะบรรลุข้อตกลงการค้าที่นำไปสู่การปรับสมดุลเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะมีหลายประเด็นที่เป็นประเด็นอ่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้าไม่เป็นธรรม ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยี ค่าเงิน ทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น
ในระยะต่อไป จึงยังมีโอกาสสูงที่สหรัฐฯ จะใช้ภาษีนำเข้าเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรอง หรือปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศที่อ่อนไหวจากสินค้าจีน อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนั้น คาดว่าจีนจะกระจายตลาดการส่งออกออกจากสหรัฐฯ โดยส่งออกสินค้าไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากกำลังการผลิตส่วนเกินที่ยังมีอยู่ โดยเฉพาะในตลาดอาเซียน รวมทั้งไทย ที่ดูเหมือนจะมีอำนาจการต่อรองในการขึ้นภาษีนำเข้าต่ำ
“หากผู้ผลิตจีนยังทยอยลดราคาสินค้า เพื่อส่งออกมายังตลาดไทย สิ่งที่ต้องกังวล คือความเสี่ยงต่อการแข่งขันทางด้านราคาต่อผู้ผลิตไทยจะยิ่งเร่งตัวขึ้นไปอีก และอาจส่งผลกระทบรุนแรงขึ้น โดยทำให้กิจกรรมในภาคการผลิต และการจ้างงานหดตัวแรง” KKP ระบุ
ดังนั้น แม้ว่าความเสี่ยงจากภาษีทรัมป์ต่อไทยจะลดลง จากความพยายามของภาครัฐในการเจรจาข้อตกลงการค้า แต่ประเด็นที่น่ากังวลสำหรับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว คือ แรงกดดันทางด้านเงินฝืดต่อเศรษฐกิจไทยที่น่าจะยังเพิ่มสูงขึ้น หากรัฐบาลไม่มีมาตรการรองรับผลกระทบต่อธุรกิจและการจ้างงาน จากกำลังการผลิตส่วนเกินของจีนที่เข้ามาตีตลาดในไทย