เครดิตบูโรชี้คนไทย 3.2 ล้านคนมีหนี้เสียต่ำกว่า 1 แสนบาท รวมยอดหนี้เสียกว่า 1.2 แสนล้านบาท มากถึง 10% ของหนี้เสียทั้งหมดในไทย บัญชีหนี้เสียในกลุ่มต่ำ 1 แสนบาท เฉลี่ยบัญชีละ 27,273 บาท

เครดิตบูโร ชี้คนไทย 3.2 ล้านคนมี หนี้ เสียต่ำกว่า 1 แสนบาท รวมยอดหนี้เสียกว่า 1.2 แสนล้านบาท มากถึง 10% ของหนี้เสียทั้งหมดในไทย บัญชีหนี้เสียในกลุ่มต่ำ 1 แสนบาท เฉลี่ยบัญชีละ 27,273 บาท

นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ได้โพสต์เฟสบุ๊กเกี่ยวกับสถานการณ์หนี้สินครัวเรือนที่จัดเก็บข้อมูล​ในระบบเครดิตบูโร​ สิ้นสุดไตรมาสที่​ 1 ปี 68 ดังนี้ หนี้สินครัวเรือนในภาพใหญ่ของประเทศอยู่ที่​ 16.2 ล้านล้านบาท หนี้สินครัวเรือนที่มีการจัดเก็บในระบบเครดิตบูโรที่มาจากสถาบันการเงินกว่า​ 160 แห่งมีอยู่เท่ากับ​ 13.5 ล้านล้านบาท หนี้เสีย, NPLs มีจำนวน​ 1.19 ล้านล้านบาทลดลงจากเดือนมกราคม​ 2568 จำนวน​ 3 หมื่นล้านบาท​ หนี้เสียนี้ครอบคลุมจำนวนลูกหนี้​ 5.15 ล้านคน 9.13 ล้านบัญชี

เจาะลงมาในหนี้เสียตั้งแต่​ 1 แสนบาทลงมาพบว่า​มีอยู่เป็นจำนวนเงิน 1.2 แสนล้านบาทหรือประมาณ​ 10% ของยอดหนี้เสียนั้นครอบคลุมจำนวนรายของคนที่เป็นลูกหนี้​ 3.28 ล้านคน 4.44 ล้านบัญชี​ ถ้าเรามีมาตรการแก้หนี้ตรงนี้แบบเบ็ดเสร็จ​ก็จะช่วยคนได้เป็นจำนวนหลายล้านคน​ หนี้ส่วนใหญ่คือหนี้ไม่มีหลักประกัน, เจ้าหนี้มีการกันสำรองเต็มร้อยไปแล้วตามมาตรฐาน​การบัญชี​ ที่สำคัญคือเจ้าหนี้ติดต่อไม่ค่อยจะได้​ แต่ลูกหนี้เหล่านั้นยังอยู่ในสังคมเรา ยังมีชีวิต​ ยังดิ้นรน​ฟันฝ่าอยู่​ ช่วยเขาตรงนี้ให้กลับมาเป็นกำลังในการทำงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ​ดีกว่าหรือไม่​ ฟ้องร้องบังคับคดี​ 10 ปีมันคุ้มหรือไม่…นี่คือคำถาม​

แน่นอนครับท่านที่ไม่เห็นด้วยก็จะบอกว่ามันจะบ่มเพาะนิสัย, วัฒนธรรม​ เป็นหนี้ไม่ใช้หนี้​ แต่ต้องเข้าใจความจริงของชีวิตในเศรษฐ​กิจยามนี้ว่า​ การเป็นหนี้เสีย​ ถูกตามหนี้เข้มข้น​ ถูกดำเนินคดี​ กู้เงินไม่ได้​ มันคือการลงโทษในหลายปีมานี้​ ไม่นับว่าช่วงโรคระบาดก็ไม่มีการรอลงอาญา​น่าจะมีสัดส่วนกับความผิดหลงที่ไม่จ่ายหนี้ของมูลหนี้ต่ำกว่าแสนบาทหรือไม่​

ขณะที่เจ้าหนี้ถ้าจะตัดสูญตัดใจก็ไม่น่าจะกระทบกำไรของท่านเท่าใดแล้ว​ อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการสำรองหนี้สูญก็น่าจะได้ประโยชน์​ทางภาษีอากรไปแล้วหรือไม่​ อัตราเปอร์เซ็นต์​ในการขายทิ้งให้กับ​ AMC ก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงมากมายอะไรหรือไม่… เราๆท่านๆลองคิดดูนะกันครับ​

หนี้กำลังจะเสียหรือ​ SM. ก็อยู่ในระดับที่​ 5.75แสนล้านบาท​ เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนก็อยู่ที่​ 6.44แสนล้านบาทลดลงมา 10.8% เทียบช่วงเดียวกันกับในปีที่แล้ว การเร่งปรับโครงสร้างหนี้หลังเป็นหนี้เสียหรือทำ​ TDR.นั้นมียอดคงค้าง​ 1.08ล้านล้านบาทเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนก็อยู่ที่​ 1.07ล้านล้านบาท​ yoy.แทบไม่ขยับ

แต่การทำ​ DR. หรือปรับโครงสร้างหนี้เชิงป้องกัน, การปรับโครงสร้างหนี้ก่อนไหลมาไปเป็น​ NPLs. นั้นตอนนี้มาอยู่ที่​ 1.12 ล้านล้านบาทแล้ว​ ตัวเลขที่เพิ่ม​ QoQ.เพิ่มสูงถึง​ 31.7% สิ่งนี้มันสะท้อนได้บ้างว่า​ คนเป็นหนี้, ไปไม่ไหว, ผ่อนติดขัด​ เจ้าหนี้ถูกกติกาบังคับให้ต้องยื่นข้อเสนอให้ลูกหนี้ทำ​ DR. ตัวเลขมันขึ้นเร็วมากจากการรายงานครั้งแรกเมื่อเมษายน​ 2567 เขื่อนยักษ์​ DR. มันจึงยกสูงกั้นการไหลมาเป็น​ NPLs. อย่างที่เห็นกัน​

ประเด็นเล็กๆคือ​ ลูกหนี้ที่ทำ​ DR. แล้วผ่อนได้ตามสัญญา​ DR.​ เขาคือคนที่มีแผล​ รบกับหนี้แล้วไม่ค่อยชนะ​ เขาควรได้ยาสมานแผลช่วย “ยี่ห้อ​ คุณสู้​ เราช่วย” เพราะเขาสู้ไงครับ​ เขาไม่ยอมแพ้จนไหลไปเป็น​ NPLs. 

ทำไมเราไปมองว่า​ เขาผ่อนได้ดีแล้ว​ จึงไม่ให้เขาเข้าร่วมโครงการ​ คุณสู้​ เราช่วย​ ,การตัดสินใจไม่ทำอะไร, kick the can down the road, No Action Talk Only, มันคือนิยามของ​ moral hazard อย่างที่ท่านชอบพูดเหมือนกันนะครับผม,

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles