นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ขณะนี้ภาคการผลิตยังไม่ตรงตามเป้า สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมองที่เป็นซัพพลายเชน ที่ต้องให้ความรู้เอสเอ็มอี โดยที่ผ่านมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังห่วงการเข้าถึงแหล่งทุน กระทรวงอุตสาหกรรมมีเงินทุนจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เพื่อให้เข้าถึง แต่ก็ต้องยอมรับว่าข่าวสารและการเข้าถึงผู้ประกอบการยังน้อย
อย่างไรก็ตาม อย่างที่ทราบว่าตัวเลขการเติบโต GDP ลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจที่มีปัญหา จะทำอย่างไรให้อุตสาหกรรมอยู่รอดต่อไปได้ การประคับประคองเอสเอ็มอีให้คงอยู่เป็นหัวใจของกระทรวงฯ เพราะปัจจุบันทั่วโลกต่างออกกฏกติกาการกีดกันทางการค้ามากมาย เทรนด์การค้าขายก็เปลี่ยนแปลงไปมีหลายรูปแบบทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีหายไปเรื่อยๆ และหากไม่รีบช่วยเหลือและไม่ทำอะไรเลยอีก 5-10 ปี ผู้ประกอบการจะหายไปอีกครึ่งหนึ่ง แล้วความสำคัญของกระทรวงอุตฯ จะอยู่ตรงไหน
เมื่อถามถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องจากกรณีสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 40 คน ให้วินิจฉัยคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แต่ไม่ให้หยุดการปฎิบัติหน้าที่ นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวว่า ในส่วนของกระบวนการก็เดินไปตามขั้นตอน ทุกคนที่ทำหน้าที่จะเอาการกล่าวอ้างมาเป็นประเด็นไม่ได้ ส่วนตัวเมื่อมีเรื่องก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ จนกว่าศาลจะตัดสิน ส่วนความกังวลของนักลงทุนก็มีความเชื่อโยงถือเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่เรื่องของโครงสร้างก็เป็นอีกส่วนหนึ่งเพื่อการลงทุน
นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนเมษายน 2567 กลับมาเป็นบวกที่กว่า 3% หลังติดลบต่อเนื่องมา 18 เดือนติด โดยปัจจัยมาจากผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องปรับอากาศและปิโตรเคมีที่เป็นบวก แต่กลุ่มยานยนต์ยังคงติดลบ
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจในภาพรวมก็ยังมีปัญหาทั้งภายในประเทศเองและภายนอกประเทศ อีกทั้งมูลค่าอุตสาหกรรมที่ยังต่ำ แม้สินค้าจะยังพอขายได้แต่มูลค่าไม่สูง ทั้งนี้ มองว่าอุตสาหกรรมที่จะไปได้ดีในอนาคตอย่างเห็นได้ชัดคือ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) แต่ปัจจุบันยังไปไม่ได้หมด ส่วนอุตสาหกรรมเกษตรก็ยังคงเป็นไปตามฤดูกาล
“การส่งเสริมในด้านของการทำชิ้นส่วนอีวีนั้น ต้องยอมรับว่าปริมาณการผลิตยังไม่เยอะ สิ่งที่คิดคือที่นำเข้ามา 7 หมื่นคัน โดยปีนี้ต้องผลิตตามสัดส่วนที่รับการสนับสนุนมาตรการอีวี3.0 ในเบื่องต้น 7 หมื่นคัน ซึ่งจะต้องหาตลาดด้วย”
นางวรวรรณ กล่าวว่า สศอ.ได้ร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) โดยของบสนับสนุนราว 2,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างสอบถามสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย รวมถึงผู้ประกอบการว่าถ้ามีเงินเข้ามาแล้วจะเอาไปทำอะไร สิ่งที่พบ คือผู้ประกอบการก็ยังไม่รู้ว่าควรจะปรับปรุงและพัฒนาตรงไหนก่อน