นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เงินบาทวันนี้ เปิดที่ระดับ 32.59 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.70 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 32.55-32.73 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด อาทิ ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ในเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น เพียง 3.7 หมื่น ตำแหน่ง ส่วนดัชนี ISM PMI ภาคการบริการในเดือนพฤษภาคม ก็ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 49.9 จุด (ต่ำกว่าระดับ 50 จุด สะท้อนถึง ภาวะหดตัว) แย่กว่าที่ตลาดคาดไว้พอสมควร โดยภาพดังกล่าว ทำให้ผู้เล่นในตลาดได้ปรับเพิ่มโอกาสเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้ง ในปีนี้ เป็น 28% จากที่ผู้เล่นในตลาดมั่นใจว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้ง ในปีนี้ ก่อนรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว
นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่ทยอยปรับตัวขึ้นเข้า ตามการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
คคาดว่ากรอบเงินบาทวันนี้ จะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.70 บาทต่อดอลลาร์ เงินบาทยังมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นได้บ้าง จนกว่าตลาดจะคลายกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งจำเป็นต้องเห็นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ที่ออกมาดีกว่าคาด สวนทางกับ ยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP หรืออย่างน้อย ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ก็ไม่ควรปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องชัดเจน ซึ่งการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทดังกล่าวจะได้แรงหนุนจากทั้ง การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ (ที่จะมาพร้อมกับการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในช่วงตลาดกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย) และการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ
อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ เนื่องจากในช่วงนี้ เรายังคงเห็นแรงซื้อเงินดอลลาร์จากบรรดาผู้เล่นในตลาดอยู่บ้าง อาทิ ในจังหวะที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง ก็อาจมีโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันดิบ และอาจมีแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติที่ช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้บ้าง