ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า เงินบาท อ่อนค่าลงช่วงสั้นๆ ต้นสัปดาห์ แต่ล้างช่วงอ่อนค่าลงทั้งหมดและขยับแข็งค่าขึ้นในช่วงต่อมาสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย และการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ กลับมาเผชิญแรงขายตามการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หลังตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคและยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ เดือนเม.ย. ออกมาอ่อนแอกว่าที่คาดประกอบกับประธานเฟดส่งสัญญาณว่าเฟดไม่น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก
ทั้งนี้ จากข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ และท่าทีของเฟดดังกล่าว ทำให้ตลาดกลับมาเพิ่มน้ำหนักความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในการประชุมเดือนก.ย. นี้อีกครั้ง โดยในส่วนของเงินบาทนั้น แข็งค่าไปที่ 36.05 บาทต่อดอลลาร์ฯ (แข็งค่าสุดในรอบเกือบ 2 เดือน) ในระหว่างสัปดาห์ ก่อนจะอ่อนค่ากลับมาบางส่วนท้ายสัปดาห์ตามการปรับโพสิชั่นของตลาดเพื่อรอติดตามตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/2567 ของไทยในวันที่ 20 พ.ค. นี้
โดยเมื่อวันศุกร์ที่ 17 พ.ค. 2567 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ระดับ 36.21 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 36.72 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (10 พ.ค. 67) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 13-17 พ.ค. 2567 นั้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 5,212 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตรไทย 3,706 ล้านบาท (ซื้อสุทธิพันธบัตรไทย 3,935 ล้านบาท หักตราสารหนี้หมดอายุ 229 ล้านบาท)
ขณะที่ สัปดาห์นี้ (20-24 พ.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 35.85-36.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/2567 ของไทย (20 พ.ค.) ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสอง ยอดขายบ้านใหม่เดือนเม.ย. ดัชนี PMI เบื้องต้นสำหรับเดือนพ.ค. ตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และบันทึกการประชุมเฟดเมื่อ 30 เม.ย.-1 พ.ค. นอกจากนี้ ตลาดอาจรอติดตามการประกาศอัตราดอกเบี้ย Loan Prime Rate ของจีน ผลการประชุมธนาคารกลางเกาหลีใต้ อัตราเงินเฟ้อเดือนเม.ย. ของอังกฤษ และดัชนี PMI เบื้องต้นสำหรับเดือนพ.ค. ของญี่ปุ่นยูโรโซนและอังกฤษ