นายณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)หรือ CPN เปิดเผยว่า ปัจจุบันกลุ่มเซ็นทรัลมีการลงทุนในภูเก็ตมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ ประกอบด้วย 4 ศูนย์การค้า ,5 ห้างสรรพสินค้า, 7 โรงแรม, 3 คอนโดมิเนียม รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ในกลุ่ม อาทิ ซูเปอร์สปอร์ต เพาเวอร์บาย ไทวัสดุ บีเอ็นบี โฮม บีทูเอส ออฟฟิศเมท Tops Food Hall Tops Market Tops Daily Tops Vita เป็นต้น และมีศูนย์การค้าในภาคใต้ รวมทั้งหมด 5 แห่ง ได้แก่ เซ็นทรัลภูเก็ต สมุย สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และหาดใหญ่
โดยเฉพาะเซ็นทรัลภูเก็ตที่ได้เปิดบรการมาตั้งแต่ปี 2547 ปัจจุบันได้กลายเป็นช้อปปิ้งเดสติเนชั่น อย่างที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้แล้ว ยังสอดคล้องกับการพัฒนาของเมือง และตอบรับแผนยุทธศาสตร์ภาครัฐที่ต้องการพัฒนาให้ภูเก็ตเป็น “Top Destination for Global Jetsetter” ดึงดูดกำลังซื้อสูงทั่วโลก
ปัจจุบันเซ็นทรัลภูแก็ตฟลอเรสต้าเปิดมา 6 ปีแล้ว เป็นลักชัวรีมอลล์ที่ได้รับการตอบรับดีเพราะมีกำลังซื้อมหาศาล โดยมีทราฟฟิคเข้ามาในศูนย์เพิ่มขึ้นกว่า 30% จากช่วงก่อนเกิดโควิด และจากฐานข้อมูลเดอะวัน ลูกค้าเซ็นทรัลภูเก็ตมียอดใช้จ่ายต่อคนสูงที่สุดเป็นอันดับ1 ของศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ สะท้อนการเติบโตของตลาดลักชัวรีในไทยที่ปัจจุบันมีมูลค่าตลาด 1.6 แสนล้านบาท โดยมีการขยายตัวถึง 5.62% และภายในปี 2571 คาดว่าจะแซงหน้าตลาดสิงคโปร์
น.ส.วิไลพร ปิติมานะอารี ผู้อำนวยการอาวุโสกลุ่มงานปฎิบัติการสาขาภูเก็ต บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า กำลังซื้อตลาดลักชัวรี่ในภูเก็ตเติบโตสูงมาก ตามภาคการท่องเที่ยว ทำให้เซ็นทรัลลงทุนขยายพื้นที่โซนลักชัวรี่สำหรับแบรนด์เนมอีก 4 เท่า จาก 2,000 ตารางเมตร ในสิ้นปี 2567 เพิ่มเป็น 4,000 ตารางเมตร และ 8,000 ตารางเมตรในปี 2569 เพื่อรองรับแบรนด์เดิมที่จะขยายพื้นที่เพิ่มและแบรนด์ใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่มเป็น 30 แบรนด์ จากปัจจุบันมี 14 แบรนด์ อาทิ BALENCIAGA, BOTTEGA VENETA, BURBERRY, CHRISTIAN LOUBOUTIN, DIOR, GUCCI, HERMÈS, LOUIS VUITTON, OMEGA, PMT THE HOUR GLASS, SAINT LAURENT, VERSACE และ ZEGNA และสิ้นปี 2567 นี้จะมีแบรนด์ใหม่เข้ามาเพิ่ม 3 แบรนด์ เช่น PRADA จะเปิดเดือนสิงหาคมนี้ เป็นต้น จะเป็นการขยายพื้นที่โซนลักชัวรี่โดยปรับพื้นที่ช็อปแบรนด์เนมชั้น 1 ขึ้นมาอยู่ชั้น 2 และนำแบรนด์ใหม่ที่จะเป็นซุปเปอร์ลักชัวรี่มาเปิดช็อปชั้น 1 แทน
“ทราฟฟิคเซ็นทรัลภูเก็ตในปัจจุบันเพิ่มขึ้นมากเฉลี่ยอยู่ที่ 80,000-100,000 คนต่อวัน ทางฝั่งฟลอเรสต้าซึ่งเป็นลักชัวรี่มอลล์อยู่ที่ประมาณ 50,000 คนต่อวันและสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้น20% หลังขยายพื้นที่เสร็จ โดยลูกค้าเป็นคนไทย 30%มีทั้งจากกรุงเทพและคนในพื้นที่ภูเก็ต ส่วนอีก 70% เป็นชาวต่างชาติ เช่น รัสเซีย ยุโรป ตะวันออกกลาง อินเดีย จีน อเมริกัน มีทั้งกลุ่มทัวร์ริสและกลุ่มเอ็กซ์แพ็ทที่ทำงานและอาศัยอยู่ในภูเก็ตมีร่วม 1 แสนคน ซึ่งภูเก็ตจะเป็นช้อปปิ้งเดสติเนชั่นที่อยู่นอกกรุงเทพ เป็นเดอะเวิล์ดลักชัวรี่เทียบเท่าลอนดอน สิงคโปร์ “น.ส.วิไลพรกล่าว
ทั้งนี้ ภูเก็ตนับเป็นจังหวัดที่สร้างเม็ดเงินทางเศรษฐกิจเป็นอันดับที่ 2 รองจากกรุงเทพ ในปี 2566 ภูเก็ตสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวของจังหวัดถึง 380,000 ล้านบาท และในปี 2567 ตั้งเป้ารายได้จากการท่องเที่ยวที่ 450,000 ล้านบาท โดยสิ้นปีนี้ คาดมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าภูเก็ตกว่า 12 ล้านคน คิดเป็นอันดับ 2 ของประเทศ รองจากกรุงเทพฯ ซึ่งภูเก็ตถือเป็น “บ้านหลังที่สอง” ของเศรษฐีชาวไทยและต่างชาติ ที่ซื้อบ้านพลูวิลล่าหลังละ 100 ล้านบาท ด้วยอินฟราสตรัคเจอร์ที่พร้อมรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก ทั้งแผนขยายสนามบินภูเก็ต เฟส 2 ที่คาดว่าจะเสร็จในปี 2570 มีสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ โรงพยาบาล โรงเรียนนานาชาติ ท่าเรือยอร์ช สนามกอล์ฟ และ ไพรเวทเจ็ตเป็นต้น ทำให้ภูเก็ตเป็นหมุดหมายของระดับโลก