คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีมติเห็นชอบมาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2569 เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 เพื่อใช้เป็นกรอบดำเนินงานรับมือฤดูกาลฝุ่นที่เริ่มต้นเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แม้ว่าภาพรวมสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ทั่วประเทศในปี 2568 (ช่วง 1 พ.ย. 2567 ถึง 31 พ.ค. 2568) จะมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยค่าเฉลี่ยฝุ่นลดลง ร้อยละ 10 และจำนวนจุดความร้อนทั่วประเทศลดลง ร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รวมถึงพื้นที่เผาไหม้ในพื้นที่ป่าลดลงมากถึง ร้อยละ 24 จากปี 2567 แต่การแก้ไขปัญหายังคงมีความท้าทาย เนื่องจากมีพื้นที่ป่าที่ต้องดูแลกว่า 120 ล้านไร่ ในขณะที่จำนวนเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอต่อการป้องกันการลักลอบเผาป่า และไฟที่ลามมาจากพื้นที่รอบนอก
นอกจากนี้ ในช่วงปลายปี 2568 ถึงต้นปี 2569 คาดการณ์ว่าสถานการณ์ฝุ่นมีโอกาสรุนแรงขึ้น เนื่องจากสภาวะลานีญาจะเปลี่ยนกลับสู่ความเป็นกลาง ส่งผลให้ปริมาณฝนลดลงและทำให้ความสามารถในการชะล้างมลพิษต่ำลง นับเป็นปัจจัยด้านสภาพอากาศที่ส่งผลต่อวิกฤตฝุ่นควันปี 2569 ซึ่งไม่ได้มาจากการเผาเพียงอย่างเดียว ด้วยเหตุนี้ แนวทางใหม่ในการรับมือวิกฤตฝุ่นปี 2569 จึงถูกยกระดับขึ้น โดยมีหัวใจหลักคือ ยุทธการตรึงพื้นที่ และการบูรณาการการทำงานเป็นหนึ่งเดียวกับจังหวัด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการไฟป่าและควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่นให้ได้มากที่สุด
ในขณะที่การจัดการพื้นที่ป่า ได้ยกระดับการจัดการไฟป่าภาคเหนือในพื้นที่เสี่ยง 14 กลุ่มป่า โดยเน้นการทำงานเชิงรุกแบบไร้รอยต่อ พร้อมตั้งเป้าลดพื้นที่เผาไหม้ทั่วประเทศลงไม่น้อยกว่า ร้อยละ 10 จากปีก่อน อีกทั้งกรมป่าไม้ยังได้ถ่ายโอนภารกิจควบคุมไฟป่าให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มากถึง 2,674 แห่ง เพื่อกระจายอำนาจและเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ยังมีการเปิดศูนย์ปฏิบัติการไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือ (War Room) ที่เชียงใหม่ เพื่อสั่งการและติดตามข้อมูลแบบ Real Time ซึ่งเป็นการทำงานที่ต่างจากเดิมอย่างชัดเจน
ด้านการจัดการในพื้นที่เกษตร จะมีความเข้มงวดการเผาภาคเกษตรด้วยระบบ “Burn Check” และบทลงโทษเด็ดขาด เน้นการใช้ประโยชน์เศษวัสดุทางการเกษตรเพื่อลดการเผา ทั้งยังมีการนำหลัก EPR มาใช้ในอุตสาหกรรมน้ำตาลด้วยการจำกัดสัดส่วนอ้อยไฟไหม้ไม่เกิน ร้อยละ 15 และให้โรงงานรับผิดชอบใบอ้อยสดจากเกษตรกรคู่สัญญาเพื่อนำไปผลิตเชื้อเพลิง
หมอกควันข้ามแดนซึ่งเป็นอีกปัจจัยสำคัญ เป็นปัญหาที่ต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการออกประกาศควบคุมการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ต้องมาจากแหล่งผลิตที่ปลอดการเผา และจะเริ่มบังคับใช้ภายในปี 2569 เพื่อป้องกันไม่ให้ผลผลิตจากการเผาเข้าสู่ประเทศ
สำหรับสถานการณ์ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีจุดความร้อนสูงถึง ร้อยละ 80 อยู่ในเขตป่า และมีพื้นที่เผาไหม้ ร้อยละ 90 ในพื้นที่ป่า 9 จังหวัดตอนบน โดยเฉพาะจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก และลำปาง ยังคงเป็นพื้นที่ที่มีจุดความร้อนสูงที่สุด 5 อันดับแรก โดยได้ตั้งเป้าลดค่าเฉลี่ย PM2.5 ในพื้นที่ดังกล่าวลงอีก ร้อยละ 10 จากค่าเฉลี่ย 33 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) ในปี 2568 และตั้งเป้าลดพื้นที่เผาไหม้ภาคเกษตรลงอย่างน้อย ร้อยละ 20
นอกเหนือจากการเผาแล้ว สิ่งที่หลายฝ่ายชี้ให้เห็นคือ ต้นตอของ PM2.5 จากกิจกรรมในเขตเมืองที่มักถูกมองข้าม โดยข้อมูลดาวเทียมพบว่า แม้ไม่มีจุดความร้อนเลย ค่าฝุ่นในช่วงเช้าก็ยังสูงมากจากมลพิษ NO2, SO2 และ VOCs จากรถยนต์ โรงงาน และการใช้ปุ๋ยเกินขนาดในหลายหัวเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และขอนแก่น