นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) จัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thailand ESG Extra Fund ) หรือ กองทุนไทย อีเอสจีเอ็กซ์ (THAI ESGX) เพื่อสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน หรือ สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (อีเอสจี) และเพิ่มเสถียรภาพตลาดทุนไทย รวมทั้งการชะลอการขายกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ)
โดยมาตรการการจัดตั้งกองทุนไทย อีเอสจีเอ็กซ์ แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรก นักลงทุนเดิมจากกองทุนแอลทีเอฟ ที่สามารถใช้สิทธิสับเปลี่ยนหน่วยหน่วยลงที่มีอยู่ ณ วันที่ 11 มีนาคม 2568 เข้าไปสู่กองทุนไทย อีเอสจีเอ็กซ์ ได้ โดยจะตั้งทำการโอนสับเปลี่ยนวงเงินทั้งหมดที่มีอยู่ สำหรับสิทธิประโยชน์ ผู้ลงทุนสามารถนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ไม่เกิน 5 แสนบาท โดยในปีภาษี 2568 ลดหย่อนภาษีที่ไม่เกิน 3 แสนบาท และปีภาษี 2569 – 2572 ลดหย่อนในส่วนที่เกิน 3 แสนบาท แต่รวมทั้งระยะเวลาโครงการต้องไม่เกิน 5 แสนบาท โดยแบ่งการลดหย่อนเป็นจำนวนเท่า ๆ กัน ปีละ 5 หมื่นบาท
ส่วนที่สองคือ ลงทุนในกองทุนไทย อีเอสจีเอ็กซ์ สามารถนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่เกิน 3 แสนบาท แต่ต้องอยู่ในอัตราไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน ทั้งนี้ กองทุนไทย อีเอสจีเอ็กซ์ เปิดให้สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน และเปิดขายหน่วยใหม่ ภายในระยะเวลา 2 เดือน ตั้งวันที่ 1 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568 และ สับเปลี่ยนจากแอลทีเอฟ และผู้ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนไทย อีเอสจีเอ็กซ์ ต้องถือหน่วยลงทุนในกองทุนไทย อีเอสจีเอ็กซ์ ไม่น้อยกว่า 5 ปีนับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน
นอกจากนี้กระทรวงการคลัง คาดว่าจะมีนักลงทุนแอลทีเอฟ สับเปลี่ยนเข้าไทย อีเอสจีเอ็กซ์ จำนวน 75% ของวงเงินแอลทีเอฟปัจจุบัน 1.8 แสนล้านบาท หรือ คิดเป็น 1.35 แสนล้านบาท และเกิดเม็ดเงินลงทุนใหม่อีก 3 หมื่นล้านบาท รวมคาดว่ากองทุนไทย อีเอสจีเอ็กซ์ จะมีเม็ดเงิน 1.65 แสนล้านบาท ขณะที่คลังจะสูญเสียรายได้จากการให้สิทธิลดหย่อนภาษี 5 หมื่นล้านบาท ตลอดระยะเวลามาตรการ 5 ปี
ด้าน นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า สำหรับการ จัดตั้งกองทุนไทย อีเอสจีเอ็กซ์ ขึ้นมาใหม่ มีนโยบายการลงทุนในทรัพย์สินที่ออกโดยผู้ออกหรือกิจการในประเทศไทยที่มีคุณสมบัติด้านความยั่งยืน หรือด้าน อีเอสจี โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) และจะต้องลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืนเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65%ของ ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ
ทั้งนี้ ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จัดทำระบบการตรวจสอบข้อมูล การถือครองแอลทีเอฟ ของนักลงทุน ผ่านระบบ FundConnext ของ ตลท.ด้วย คาดว่านักลงทุนทุนจะตรวจสอบข้อมูลได้ภายใน 1 เดือน