“เผ่าภูมิ” ยันการจัดเก็บภาษีคาร์บอนที่จะแทรกอยู่ในภาษีน้ำมัน จะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนแม้แต่บาทเดียว มอบสรรพสามิต ใช้ภาษีช่วยหนุนเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สุขภาพ

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่าการจัดเก็บภาษีคาร์บอนที่จะแทรกอยู่ในภาษีน้ำมันนั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนแม้แต่บาทเดียว โดยจะแบ่งสัดส่วนชัดเจน คือ ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลง และใส่ภาษีคาร์บอนเข้าไป เช่น น้ำมัน 1 ยูนิต เสียภาษีสรรพสามิต 6 บาท เราจะทำให้ภาษีสรรพสามิตลดเหลือ 5.5 บาท และอีก 0.5 บาท คือภาษีคาร์บอนที่จะใส่เพิ่มเข้าไป แต่รวมแล้วอัตราภาษีสรรพสามิตจะอยู่ที่ 6 บาทเท่าเดิม จึงไม่กระทบกับราคาขายปลีกของสินค้าพลังงาน ซึ่งกลไกนี้จะนำไปสู่การมีพลังงานที่สะอาดขึ้น นำไปสู่แรงจูงใจในการบริโภคน้ำมันที่สะอาดขึ้นด้วย โดยขณะนี้อยู่ในกระบวนการพิจารณาขั้นสุดท้าย คาดว่าจะสามารถเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาได้ในไม่ช้า

โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้มอบนโยบายแก่กรมสรรพสามิต โดยต้องการให้กรมสรรพสามิต ทำหน้าที่เป็นกลไกและรักษาสมดุลด้านภาษีระหว่างการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สุขภาพของประชาชน ธรรมาภิบาล และรายได้การจัดเก็บ โดยในส่วนของการ™2กำหนดกลไกราคาคาร์บอนในภาษีสรรพสามิตจากน้ำมัน และผลิตภัณฑ์น้ำมัน 6 ประเภท ซึ่งไทยจะเป็นประเทศที่ 2 ในอาเซียน โดยคำนวณจากค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเบื้องต้นกำหนดราคาคาร์บอนที่ 200 บาท/ตันคาร์บอน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือกระบวนการผลิต ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทั้งประชาชน และผู้ประกอบการ โดยต้องไม่ให้กระทบต่อราคาพลังงาน

ขณะที่ยานยนต์ใช้กลไกภาษีกระตุ้นให้เกิดการลงทุน และสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบ โดยเฉพาะการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งมีห่วงโซ่อุปทานเชื่อมจากอุตสาหกรรมขนาดเล็กถึงใหญ่ รวมถึงการจ้างงาน โดยใช้ภาษีสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Plug-in Hybrid (PHEV), รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) และรถยนต์ไฟฟ้าเซลเชื้อเพลิง (FCEV) ให้เพิ่มขึ้นในประเทศแต่ยังคงรักษาฐานการผลิตรถเครื่องยนต์สันดาป (ICE) และรถยนต์ไฟฟ้า Hybrid (HEV) ไว้อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ต้องกำหนดเวลาชัดเจน และให้แนวทางว่ากรมสรรพสามิตสามารถสูญเสียรายได้ในระยะสั้น เพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมในระยะยาว ซึ่งเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจประเทศได้

ด้านสุขภาพประชาชนใช้กลไกภาษีเพื่อสนับสนุนการแพทย์เชิงป้องกัน ลดการบริโภคอาหารที่เป็นโทษต่อสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี ลดภาระงบประมาณด้านสาธารณสุขของประเทศ โดยดำเนินการจัดเก็บภาษีความหวานแบบผสมต่อเนื่อง และเข้าสู่เฟส 4 ตามกำหนดเวลา โดยให้กรมสรรพสามิตศึกษาพิจารณากลไกภาษีโซเดียมในสินค้าบางประเภทที่ไม่อยู่ในสินค้าควบคุม รวมทั้งภาษีไขมัน เพื่อปรับพฤติกรรมการบริโภคโซเดียม และไขมัน ตั้งเป้าคนไทยลดบริโภคเค็มลง 30% ภายในปี 2568 ทั้งนี้ ต้องมีระยะเวลาก่อนกฎหมายมีผลบังคับใช้ให้ผู้ประกอบการปรับตัว

ส่วนเรื่องภาษีโซเดียมจะต้องให้ไปพิจารณาข้อดี-ข้อเสีย และจะใช้กับสินค้าใดก่อน โดยอาจจะเริ่มเก็บภาษีกับสินค้าที่กระทบประชาชนน้อยที่สุด ส่วนสินค้าที่มีผลต่อการดำรงชีพจะมีการพิจารณาในขั้นต่อๆ ไป เช่นเดียวกับภาษีไขมัน เพราะบนฉลากอาหารยังไม่ได้มีการระบุว่ามีไขมันดี และไขมันไม่ดีเท่าไร ก็ต้องไปร่วมกับสาธารณสุข เพื่อดูในส่วนนี้อย่างละเอียด

สำหรับแบตเตอรี่ให้ศึกษาการพิจารณาเปลี่ยนจากอัตราคงที่ 8% เป็นอัตราแบบขั้นบันได โดยคำนึงถึงปัจจัย Life Cycle และค่าพลังงานจำเพาะต่อน้ำหนัก รวมถึงชนิดของแบตเตอรี่ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่สะอาด อุตสาหกรรมรถยนต์ EV

บุหรี่ให้จัดเก็บภาษีแบบผสม โดยพิจารณาและศึกษาความเหมาะสมในการปรับปรุงโครงสร้างภาษีบุหรี่แบบอัตราเดียว (Singler Rate) เพื่อลดการบิดเบือนกลไกราคา โดยให้พิจารณาปัจจัยความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ และสนับสนุนผู้เพาะปลูกใบยาสูบในประเทศด้วย รวมทั้งดำเนินการระบบตรวจติดตามบุหรี่ โดยใช้ระบบ QR Code ในบุหรี่ เพื่อป้องกันบุหรี่เถื่อนทั้งระบบ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบข้อมูลการเสียภาษี และแหล่งที่มาของบุหรี่ เพื่อมั่นใจได้ว่าได้มาตรฐานและตรวจสอบโดยกรมสรรพสามิต

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของกรมสรรพสามิตปีงบประมาณ 2567 (ต.ค. 66 – ก.ย. 67) ว่ากรมสรรพสามิตจัดเก็บรายได้รวม 5.23 แสนล้านบาท ขยายตัว 9.8% สะท้อนถึงประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตที่สูงกว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย นอกจากนั้นยังสะท้อนถึงการใช้จ่ายในประเทศที่ดีขึ้นตามการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้จากภาษีสรรพสามิตที่เก็บจากสินค้าและบริการในหมวดที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น ภาษีเครื่องดื่ม ขยายตัวสูงถึง 8% ภาษีกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ (ไนท์คลับ และดิสโก้เธค) จัดเก็บได้เพิ่มขึ้น 31.3% และภาษีสนามกอล์ฟ จัดเก็บได้เพิ่มขึ้น 12.4% ส่วนการจัดเก็บภาษีแบตเตอรี่สูงขึ้นกว่าปีก่อน 15.6% ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles