นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว (ATTA) หรือแอตต้า เปิดเผยว่า กรณีแท็กซี่ขมขู่จะปิดทางเข้าออกสนามบินสุวรรณภูมิเพียงเพราะไม่พอใจจุดตั้งบริการของแกร็บภายในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นการอนุญาตโดยถูกต้องของท่าอากาศยานไทย และทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย กลายเป็นกระแสข่าวทางลบอย่างใหญ่โตและกว้างออกไปถึงในต่างประเทศนั้น ปัญหาการให้บริการของรถแท็กซี่ในประเทศไทย ได้รับการสะท้อนจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศตลอดเวลา
นักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางจำนวนมาก ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวที่สําคัญของสมาคมแอตต้า รายงานให้ทราบว่าบ่อยๆ ว่า รถแท็กซี่ปฏิเสธที่จะเปิดมิเตอร์ หรือชอบเรียกร้องค่าใช้จ่ายเพิ่มจากเดิมในช่วงที่เดินทางมาได้ครึ่งทาง ปัญหาแท็กซี่ในไทยไม่ใช่ลูกแอปเปิ้ลที่เน่าเสียอีกต่อไป กลายเป็นปัญหาเชิงระบบที่เชื่อมโยงกับการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ และเกิดวัฒนธรรมของการไม่ต้องรับบทลงโทษ จากสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ํา คนขับแท็กซี่บางคนเปลี่ยนเป้าหมายไปที่กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวไทยในช่วงระยะสั้น ซึ่งดูแล้วนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ไม่น่าจะดําเนินคดีตามกฎหมายเมื่อเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมากับแท็กซี่
นักเดินทางจํานวนมากจึงหันมาใช้แอปเรียกรถอย่างแกร็บ Grab แม้ราคาจะแพงกว่า แต่ผู้โดยสารก็มองว่าเชื่อถือได้ และโปร่งใสมากกว่า เพราะมีการกําหนดราคาล่วงหน้าอย่างชัดเจน มีข้อมูลผู้ขับคนขับแกร็บ และมาตรฐานการบริการที่สูงขึ้น ความสามารถในการเรียกรถโดยไม่ถูกปฏิเสธเป็นอีกหนึ่งแรงดึงดูดที่สําคัญด้วย
เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว (ATTA) หรือแอตต้า เปิดเผยต่อไปว่า ความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยเกิดขึ้นไปแล้ว บนโลกออนไลน์ที่มีการแสดงความเห็น พบว่า การร้องเรียนเกี่ยวกับการหลอกลวงหรือการฉ้อโกงของแท็กซี่ในเมืองไทยยังคงเป็นหนึ่งในความคิดเห็นด้านลบที่มีอยู่ในอันดับต้น ๆ เวลามาเที่ยวประเทศไทย การแสดงความคิดเห็น หรือรีวิวเหล่านี้ มักถูกส่งต่อกัน หรือแชร์ข้อความในภาษาจีนกลาง ภาษาจีนกวางตุ้ง และภาษามาลายู ซึ่งแพร่กระจายอย่างรวดเร็วมากโดยข้ามแพลตฟอร์ม และกระตุ้นให้เกิดความไม่ไว้วางใจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดท่องเที่ยวฮ่องกง ไต้หวัน มาเลเซีย และสิงคโปร์
ในขณะที่ความกังวลทั่วไปเกี่ยวกับการใช้บริการรถแท็กซี่ เช่น ความปลอดภัยส่วนตัวของผู้โดยสาร การหลอกลวง/การฉ้อโกง และการลักพาตัวนักท่องเที่ยวล้วนมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปัญหาการไม่ใช้มิเตอร์ของรถแท็กซี่ที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน ได้กัดกร่อนความมั่นใจ และลดทอนเสน่ห์ของประเทศไทย
แม้แต่นักท่องเที่ยวชาวจีนจํานวนมาก ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นตลาดที่มีการใช้จ่ายมากมายที่สุดของประเทศไทย ได้เปลี่ยนไปเที่ยวในประเทศอื่นๆ แทนเมืองไทย เช่น เวียดนาม ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวจีนมักจะพูดถึงความผิดหวังจากการได้รับประสบการณ์แย่ๆ จากแท็กซี่ที่ไม่เป็นธรรมกับนักท่องเที่ยว
ทั้งนี้ การท่องเที่ยวเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจไทยมาอย่างยาวนาน ก่อนการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ภาคนี้สร้างรายได้กว่า 2 ล้านล้านบาทในปี 2561 แต่ภายในปี พ.ศ. 2566 ตัวเลขนั้นลดลงเหลือ 1.67 ล้านล้านบาท และปัญหาชื่อเสียงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทําให้การฟื้นตัวยากขึ้น