นางสาวธารารัตน์ อนุรัตน์บดี ประธานกรรมการบริหาร และผู้ก่อตั้ง แบคนิฟิค ซึ่งเป็นธุรกิจศูนย์รวมแบรนด์เนมของแท้มือ 2 เปิดเผยว่า ตลาดสินค้าแบรนด์เนมมือ 2 ในไทยมีมูลค่าการซื้อขายอยู่ประมาณ 40,000 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่ มูลค่าตลาดแบรนด์้นมมือ 2 รวมทั่วโลกกว่า 10 ล้านล้านบาท สะท้อนถึงโอกาสการเติบโตของสินค้าแบรนด์เนมต่อเนื่อง ในปี 2567 ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา หรือชะลอตัวมากกว่าคาดนั้น พบว่า ตลาดแบรนด์เนมมือ 2 ไม่ได้รับผลกระทบ สาเหตุจากยอดซื้อและยอดขายเกิดขึ้นต่อเนื่อง เพิ่มโอกาสมากขึ้นด้วย
สำหรับพฤติกรรมของผู้บริโภคคนไทยมีความต้องการใช้แบรนด์เนมอยู่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะแบรนด์เนมมือ 2 ซึ่งตอบโจทย์ในแง่ราคาที่ต่ำกว่าท่ามกลางคุณภาพของสินค้าที่ไม่แตกต่างจากมือแรก ขณะที่ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยที่สูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา กลับไม่ส่งผลกับแบงนิฟิค เนื่องจาก ผู้บริโภค 90% จ่ายเงินสด อีก 10% เป็นการซื้อผ่อนผ่านบัตรเครดิต ซึ่งเป็นการรูดจ่ายทั้งหมดก่อนเช่นกัน
นางสาวธารารัตน์ กล่าวว่า ตลาดแบรนด์เนมหรูหรามือ 2 เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีอัตราการเติบโตมากที่สุดในอาเซียน ปี 2567 แบรนด์เนมหรูหราระดับโลกเข้ามาเปิดร้านสาขาใหม่ราว 20 สาขา ในจำนวนนี้ เปิดร้านสาขาในประเทศไทย 12 สาขา จึงมีสินค้ามือหนึ่งออกมาขายในตลาดเพิ่มขึ้น ลูกค้าคนไทยมักจะขายของแบรนด์เนมที่มีอยู่ออกก่อนจะซื้อของใหม่เข้ามา ปัจจัยนี้เป็นโอกาสของตลาดแบรนด์เนมมือ 2 ที่จะมีสินค้าใหม่และเก่าหมุนเวียนถึงมือลูกค้าเพิ่มขึ้น
ในแง่พฤติกรรมลูกค้าคนไทยมีการใช้จ่ายในระดับราคาไม่เท่ากัน ซึ่งขึ้นแบรนด์ที่ซื้อ เช่น หลุยส์ วิตตอง มีราคา 50,000-100,000 บาท ชาแนลอยู่ระหว่าง 100,000-300,000 บาท แอร์เมสมีราคาตั้งแต่ 5-10 ล้านบาท กลุ่มลูกค้าหลักนั้นจะมีอายุประมาณ 30-50 ปี แต่ในช่วงระยะหลังมีกลุ่มนักศึกษาเข้ามาเป็นลูกค้ามากขึ้น ซึ่งจะใช้จ่ายประมาณ 10,000-40,000 บาท
นายธานี สามสีเจริญลาภ หัวหน้าฝ่ายบริหารการเงินและบัญชี หรือซีเอฟโอ แบคนิฟิค กล่าวว่า ในช่วง 4 ปีผ่านมา ตั้งแต่ปี 2564-2567 ตลาดแบรนด์มือ 2 มีการเติบโตในไทยต่อเนื่อง เริ่มจากปี 2564 มีมูลค่าการซื้อขาย 164 ล้านบาท ปี 2565 มูลค่า 210 ล้านบาท ปี 2566 มูลค่า 480 ล้านบาท และปี 2567 มีมูลค่าการซื้อขายรวมประมาณ 640 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 160 ล้านบาท หรือบวกกว่า 30%
สาเหตุจากผู้บริโภคคนไทยโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการสร้างภาพลักษณ์ และต้องการเป็นเจ้าของสินค้าที่มีคุณภาพสูงในราคาที่จับต้องได้ รวมถึงสามารถเข้าถึงแบรนด์หรูได้ในราคาที่ถูกกว่า ขณะเดียวกัน ยันยันยันยันยันภาวะเงินใหม่ หรือนิวมันนี่ หรือเศรษฐีใหม่ที่ต้องการใช้สินค้าแบรนด์เนมหรูหรา