“เศรษฐา” พ้นเก้าอี้นายกฯ กดดันตลาดหุ้น จากนี้มีสุญญากาศทางการเมืองระหว่างรอนายกฯ ใหม่

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่างจากกรณีศาลรัฐธรรมนูญลงมติ 5 ต่อ 4 ถอดถอน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พ้นตำแหน่ง ปมแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีนั้น ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดหุ้น จากที่ผ่านมาตลาดหุ้นส่วนใหญ่มองว่า นายเศรษฐา ทวีสิน จะได้อยู่ต่อ แต่เมื่อผลออกมาแบบนี้ก็ต้องยอมรับว่า ทำให้มีความเสี่ยงเกิดขึ้นในแง่ของภาวะสุญญากาศทางการเมือง แม้ว่าจะมีนายกรัฐมนตรีรักษาการอยู่ แต่ก็อยู่ที่ว่าจะดำเนินนโยบายได้เต็มที่หรือไม่ และนอกจากนี้ก็ยังมีความเสี่ยงในเรื่องของการยุบสภาอยู่ แต่ก็เชื่อว่าจะไม่เกิดขึ้น ซึ่งก็ต้องดูว่าจะเลือกใครมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ และมาจากพรรคไหน รัฐมนตรีจะเปลี่ยนคนหรือไม่ และที่สำคัญที่สุดคือนโยบายที่ได้ทำมาจะทำต่อเนื่องหรือไม่ และมองว่าจะเกิดสุญญากาศทางการเมืองในระยะหนึ่ง แต่หากมีการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีเลย ก็อาจจะใช้เวลาไม่นานในการนำชื่อเข้าสภา แต่นั่นหมายถึงว่าต้องคุยกับพรรคร่วมให้ได้ก่อน

ส่วนผลกระทบต่อตลาดทุนไทย ถ้ามองในข้อดี หุ้นตกไม่แรง เพราะทุกคนรับสภาพแล้วว่าตลาดทุนไทยวันนี้ถูกเกินพื้นฐาน เพราะเราเป็นตลาดทุนที่เพอร์ฟอร์มได้แย่เกือบที่สุดในโลก ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และวันนี้แรงเทขายก็ไม่น่าจะมีมาก เพราะว่าราคาหุ้นหลายๆ บริษัทก็อยู่ในระดับต่ำกว่าพื้นฐานของตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าปัจจัยทางด้านบรรยากาศทางการเมือง ปัจจัยทางด้านเซนทิเมนต์ต่างๆ ก็ยังไม่เอื้ออำนวยให้คนกล้าเข้ามาลงทุน ฉะนั้นวันนี้จึงคิดว่าตลาดหุ้นไทยก็ยังอยู่ในบรรยากาศซึมๆ ไม่เกิดแรงเทขายมากไปกว่านี้ เพราะว่าทิศทางการเมืองอาจจะพลิกอีก หรืออาจจะมีการคุยกันไม่ลงตัว มีการเปลี่ยนขั้ว ซึ่งก็เป็นความไม่แน่นอน

ทั้งนี้มองว่านักลงทุนยังมองว่ารัฐบาลจะเป็นขั้วเดิม เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีบ้าง แต่ไม่เปลี่ยนนโยบายก็จะทำให้ทุกอย่างสานต่อได้ สิ่งที่ต้องการจะเห็นคือความต่อเนื่อง เพราะในครึ่งปีหลังเศรษฐกิจมีทีท่าจะฟื้นตัว ในบ้านเรากำลังซื้อก็ยังดีอยู่ แต่อาจจะมีโครงการที่หายไปหรือสะดุด เช่น โครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ที่ยังไม่มีความแน่นอน หากมองในแง่หนึ่งก็เป็นข้อดี หากรัฐบาลชุดใหม่ปรับเปลี่ยนเพื่อให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบได้ 4-5 รอบ มีเงินเข้าสู่ร้านค้าชุมชนได้จริง และขยายไปภาพใหญ่ ตามคอนเซปต์เดิมที่วางไว้ก็อาจจะเป็นหนทางหนึ่งที่จะฟื้นเศรษฐกิจไทยได้ แต่ขณะที่ปัจจุบันก็ยังมีหลายคำถามอยู่ ซึ่งตนคิดว่าถ้าทีมใหม่ปรับรูปแบบดำเนินการให้ง่ายขึ้น แต่ได้ผลในภาพกว้างตามคอนเซปต์ที่วางไว้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี รวมถึงการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ที่เหลือในระบบ 4 แสนกว่าล้านบาท ในช่วงเวลาที่อยู่เพียง 2 เดือน ก็ต้องหาวิธีการเร่งเบิกจ่ายออกมา

ส่วนกองทุน Thai ESG ไม่น่าจะมีผลกระทบ เพราะผ่านมติ ครม. ไปแล้ว ส่วนกองทุนวายุภักดิ์ ตนไม่แน่ใจเพราะยังไม่ได้เข้า ครม. ก็ต้องติดตามต่อว่ารัฐบาลชุดต่อไปจะทำเรื่องนี้หรือไม่

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles