นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือสองเดือนต่อจากนี้ภาคเอกชนมีความเป็นห่วงปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังเหนี่ยวรั้งภาวะเศรษฐกิจไทยกำลังซื้อซื้อของประชาชน โดยในระยะสั้นอยากให้รัฐบาลมีมาตรการออกมาในช่วงก่อนสิ้นปีเพื่อกระตุกให้มีโมเมนตัม เติมศักยภาพไปยังเศรษฐกิจสิ้นปีนี้ ไปจนถึงปีหน้าและเป็นแรงส่งไปยังปีถัดถัดไป
และยังมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศที่เข้ามาราคาสินค้าไทยจนกระทั่งภาคการผลิตเช่นสินค้าจากจีนที่มีต้นทุนการผลิตต่ำจากปีที่ผ่านมามีการนำเข้าเพิ่มขึ้น 10% ล่าสุดนำเข้าเพิ่ม ขึ้นเป็น 20% ซึ่งในปี 66 มีภาคการผลิตสินค้าที่กระทบรวม 22 กลุ่มขณะที่ในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 25 กลุ่ม ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลเข้ามาดูแล
นอกจากนี้ภาคเอกชนยังเป็นห่วงเรื่องการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหรือ FDI ที่ล่าสุดบีโอไอเปิดเผยตัวเลขโครงการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนอยู่ที่เกือบ 2,200 โครงการมูลค่าลงทุน 7.2 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปี ขณะเดียวกันโมเมนตัมของการลงทุนยังคงมีอยู่ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยภาพรวมการลงทุนในปีนี้ไปจนถึงปีหน้า
อย่างไรก็ตาม การส่งออกในปีนี้ออกมาดีเกินคาดโดยที่ผ่านมาขยายตัวกว่า 3.9% ซึ่งในช่วงไตรมาสสุดท้ายยังต้องลุ้น และ ต้องติดตามผลการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐเพื่อดูทิศทางการส่งออกไทย รวมทั้งกำหนดทิศทางการส่งออกโดยเฉพาะตลาดใหม่เพิ่มเติม หลังจากนี้
ขณะที่ภาพรวมหนี้ครัวเรือนไทยแม้จะมีตัวเลขที่ปรับตัวดีขึ้นแต่ยังคงน่าเป็นห่วงเนื่องจากหากดูข้อมูลในเชิงลึก ตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่ลดลงมาจากการลดการปล่อยสินเชื่อจึงช่วยชะลอหนี้
ส่วนการท่องเที่ยวยังเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้ซึ่งคาดว่าเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้น 1.7 -1.8 ล้านล้านบาท ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวในประเทศจะอยู่ที่ 3 ล้านล้านบาท ดังนั้นภาคเอกชนจึงปรับคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 25567 นี้เติบโตเพิ่มขึ้น 2.8% จากเดิมคาดว่าจะขยายตัว 2.7% ในกรอบ 2.2 ถึง 2.7%