ฮิวเลตต์ แพคการ์ด หรือ HP ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและเจ้าของแบรนด์เอชพีเครื่องคอมพิวเตอร์รวมถึงอุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ชื่อดังระดับโลกจากสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่าเตรียมปลดพนักงานครั้งใหญ่มากถึง 15% หรือราว 9,000 คนภายใน 3 ปีข้างหน้าโดยในจำนวนดังกล่าวจะเริ่มปลดพนักงานตั้งแต่ 1,000 ถึง 2,000 คน หรือคิดเป็น 3% ของจำนวนพนักงานในปัจจุบันที่มีอยู่กว่า 58,000 คนทั่วโลก โดยมีผลตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ท่ามกลางผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณบริษัทออกมามีกำไรที่ยอมรับได้
การตัดลดค่าใช้จ่ายด้วยการปลดพนักงานจำนวนมากในช่วงระยะเวลาจากนี้ไปอีกเป็นเวลา 3 ปีข้างหน้านั้น เป็นไปตามนโยบายมีชื่อว่า Future Now ซึ่งแบ่งระยะการปลดพนักงานออกเป็นสองระยะโดยระยะแรกจะต้องปลดทั้งหมด 7,000 คนและระยะสองบทรวมกันทั้งหมดเป็น 9,000 คน ด้วยการปรับโครงสร้างของธุรกิจของบริษัทเอชพีในอนาคต
การปลดพนักงานในล็อตแรกของระยะที่หนึ่ง ซึ่งจะตกงานระหว่าง 1,000 ถึง 2,000 คนที่จะเริ่มต้นในปีนี้จะส่งผลให้บริษัทเอชพีประหยัดเงินในช่วงสิ้นปี 2025 ได้ราว 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือกว่า 10,200 ล้านบาท อย่างไรก็ตามเมื่อบริษัทเอชพีได้โปรดพักพนักงานออกครบทั้งหมดเก้าคนซึ่งถือว่าเป็นการสิ้นสุดแผนตัดลดค่าใช้จ่ายในในช่วง 3 ปีข้างหน้านั้น จะทำให้บริษัทเอชพีประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากถึง 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 64,600 ล้านบาท
นายเอนริเก้ ลอเรส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีโอ เอชพี กะว่าผลประกอบการในไตรมาสที่หนึ่งของปีงบประมาณบริษัทที่ออกมาอย่างน่าประทับใจนั้นเนื่องจากเอสพีมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจโดยเน้นเข้าไปสร้างตลาดเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยระบบการทำงานของโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ ซึ่งคาดว่าภาพรวมของตลาดพีซีเอไอจะเติบโตถึง 25% ในขณะเดียวกันบริษัทประสบความสำเร็จในการสร้างเครือข่ายการผลิต และห่วงโซ่การผลิตชิ้นส่วน และอุปกรณ์ต่างๆของเอชพี โดยมีสัดส่วนมากถึง 90% ให้อยู่นอกประเทศจีน เพื่อเป็นการตั้งรับและแก้ไขปัญหามาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศของทั้งจีนและสหรัฐอเมริกาอย่างไรก็ตาม มาตรการการเก็บขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศจีนอาจมีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในอนาคต
ทั้งนี้ ผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ของงบประมาณบริษัทเอชพีพี พบว่า มีผลกำไร 565 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 19,210 ล้านบาท อย่างไรก็ตามเป็นผลกำไรที่ลดลงจากช่วงเดียวกันในปีงบประมาณก่อนหน้านั้นซึ่งมีผลกำไรอยู่ที่ 622 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 21,148 ล้านบาท ในขณะที่รายได้ในภาพรวมในไตรมาสที่หนึ่งมีมากถึง 13,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 459,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น +2.4% โดยเป็นรายได้จากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เพิ่มขึ้น 5% และรายได้จากเครื่องพิมพ์ที่เพิ่มขึ้น 2%
