นายนรเทพ บุญเก็บ เลขาธิการสมาพันธ์ เอสเอ็มอี ไทย กล่าวว่า วันนี้นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน แถลงออกมาตรการเงินดิจิตอล 10,000 บาท กำลังจะดีขึ้นอยู่แล้ว แต่พอคณะกรรมการนโยบายการเงิน แบงก์ชาติ กลับตรึงดอกเบี้ยไว้ระดับนี้ ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูง ทำให้เอกชนมีความกังวลว่า ถึงประชาชนได้รับเงินดิจิตอล 10,000 บาท ก็ทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจไทยไม่ได้มากเท่าที่ควร
เนื่องจากประชาชนบางส่วนอาจจะยังไม่มีอารมณ์จับจ่าย ซึ่งผลที่จะตามมาอาจจะไม่ถึงขั้นระเบิด แต่ว่ามีแนวโน้มว่าจะรุนแรงขึ้นโดยเฉพาะปัญหาเรื่องหนี้เสีย หรือ NPL ในกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีกระทบมาก นั่นเป็นต้นทุนของพวกเรา
หากดอกเบี้ยทรงตัวสูงจนทำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีไม่สามารถชำระได้ ก็ต้องไปหาแหล่งเงินทุนนอกระบบ เป็นที่ทราบกันดีว่าภาคเอกชนบางกลุ่มต้องปรับขึ้นค่าแรงด้วย ก็อาจจะส่งผลทำให้เกิดปัญหาเรื่องสภาพคล่อง ดังนั้น คาดว่าเอกชนบางรายอาจจะไม่สามารถแบกภาระหนี้ ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจไทยแน่นอน
คณะกรรมนโยบายการเงิน หรือ กนง. ธนาคารแห่งประเทศไทย แถลงมีมติด้วยคะแนน 5 ต่อ 2 เสียง ให้ตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 2.50% ต่อไปเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน หรือนับตั้งแต่ 29 พ.ย. 2566 เป็นต้นมา ส่งผลให้ยังคงเป็นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่สูงในรอบ 10 ปีต่อเนื่องมาเป็นเวลา 5 เดือนต่อเนื่อง
การประชุมก่อนถึงครั้งนี้ในวันนี้ 10 เมษายน 2567 นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 ว่า คณะกรรมการฯ มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ต่อปี โดย 2 เสียงเห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ต่อปี
ย้อนกลับไปเมื่อวานนี้ 9 เมษายน นายเศรษฐา ทวีสิน ให้สัมภาษณ์พิเศษเฉพาะกับสำนักข่าวรอยเตอร์สชื่อดังระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา ว่า ในสัปดาห์นี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยควรจะปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงมาอย่างน้อย 0.25% หรืออาจลดลง 0.5% เพื่อสนับสนุนความพยายามของรัฐบาลในการฟื้นภาวะเศรษฐกิจไทยที่มีขนาดใหญ่อันดับ 2 ในอาเซียน
ภายใต้ภาวะเงินเฟ้อไทยในปัจจุบันที่ติดลบมาต่อเนื่อง ความคาดหวังของนายกรัฐมนตรี คือการลดดอกเบี้ยลงไม่เพียงแค่ลง 0.25% อาจจะต้องลงถึง 0.5% สาเหตุจากเวลาในการปรับลดดอกเบี้ยของแบงก์ชาติเลยผ่านเนิ่นนานมาแล้ว ในความเป็นจริง แบงก์ชาติควรจะลดดอกเบี้ยตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว
