ผลการวิจัยล่าสุดของ Salesforce (เซลส์ฟอร์ซ) ที่ทำการสำรวจข้อมูลจากผู้บริหารระดับสูงขององค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศไทยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามมากถึง 84% มองเทคโนโลยี Generative AI ( เอไอ ) ว่าเป็นหนึ่งในสามสิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดสำหรับการดำเนินธุรกิจ งานวิจัยชิ้นนี้ได้สำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงจำนวน 225 คน จากองค์กรขนาดใหญ่ในหลากหลายอุตสาหกรรมทั่วประเทศไทย โดย 58%ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าองค์กรได้มีกลยุทธ์ด้าน Generative AI ที่กำหนดขึ้นอย่างชัดเจนแล้ว ในขณะที่ผู้บริหาร 38% ได้เริ่มวางแผนเพื่อกำหนดกลยุทธ์ด้านนี้แล้วเช่นกัน
บริษัทต่างๆ มุ่งพัฒนาเพื่อเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI งานวิจัยครั้งนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า บริษัทที่ยังไม่ได้นำเทคโนโลยี AI มาใช้นั้นมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียความได้เปรียบคู่แข่งเป็นอย่างมาก และการเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากเราอยู่ในยุคที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากเทคโนโลยีแชทบอท ไปสู่ผู้ช่วยแบบCopilot และก้าวสู่ Autonomous AI Agent หรือระบบเจ้าหน้าที่ AI อัจฉริยะซึ่งสามารถทำงานแบบอัตโนมัติได้ด้วยตัวเอง การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีของระบบ Agent นี้ทำให้องค์กรสามารถมอบให้ AI ทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานแบบดิจิทัลที่ไว้วางใจได้ แทนที่จะเป็นเพียงผู้ช่วยแบบดิจิทัลเท่านั้น
ผู้บริหารระดับสูงได้ระบุว่าปัจจัยสามอันดับแรกที่ผลักดันให้องค์กรให้ความสำคัญกับการนำGenerative AI มาใช้ได้แก่
• ความคาดหวังของลูกค้าที่ต้องการความรวดเร็ว และประสบการณ์ที่ตรงกับความต้องการของแต่ละบุคคลมากยิ่งขึ้น (44%)
• ความต้องการของพนักงานในการนำเครื่องมือ Generative AI มาใช้ในองค์กร (44%)
• ความต้องการขององค์กรที่จะนำนวัตกรรมซึ่งสร้างประสบการณ์รูปแบบใหม่มามอบให้กับลูกค้าและพนักงาน (41%)
ท่ามกลางความนิยมในการใช้ Autonomous AIผลสำรวจพบว่าผู้บริหารระดับสูงของไทยต่างเชื่อมั่นต่อการมอบหมายให้ AI ดำเนินงานแบบอัตโนมัติด้วยตนเอง โดยผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 100% ในการวิจัยระบุว่าพวกเขาเชื่อมั่นและไว้วางใจที่จะมอบหมายงานอย่างน้อยหนึ่งด้านให้ AI ดำเนินงาน โดยไม่จำเป็นต้องมีการควบคุมกำกับจากมนุษย์ภายในสามปีข้างหน้า
ผลการสำรวจพบว่าผู้บริหารระดับสูงในไทยมุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยี Generative AI มาใช้ในองค์กร และได้ลงมือดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อให้มั่นใจว่าการริเริ่มนี้จะประสบความสำเร็จ โดยผลสำรวจพบว่าประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท (CEO)เป็นผู้ที่รับหน้าที่และมีความรับผิดชอบสูงสุด (30%) ต่อความสำเร็จในการนำ Generative AIมาใช้งานและสร้างความพร้อมให้องค์กร ขณะที่28% ระบุว่าผู้รับผิดชอบสูงสุดคือประธานฝ่ายสารสนเทศ (CIO) หรือประธานฝ่ายสายงานเทคโนโลยี (CTO) และ 24% ระบุว่าคือหัวหน้าแผนกงานด้านต่าง ๆ
เมื่อถามว่า Generative AI นั้นได้ส่งผลเชิงบวกให้กับฝ่ายงานด้านใดขององค์กรมากที่สุด ผู้บริหารระบุว่าฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศหรือ IT เป็นด้านที่ได้รับผลเชิงบวกมากที่สุด (44%) โดยฝ่ายปฏิบัติการเป็นอีกด้านที่ได้รับผลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญ(30%) อย่างไรก็ตามมีผู้บริหารเพียงประมาณ 1ใน 4 เท่านั้นที่มองเห็นผลกระทบเชิงบวกของ AIในฝ่ายงานที่ติดต่อสัมพันธ์กับลูกค้า เช่น ฝ่ายบริการ (26%) และฝ่ายขาย (23%)
แม้ว่าจะมีความมั่นใจในการใช้งานเทคโนโลยี แต่ผลการวิจัยระบุว่าผู้บริหารยังคงพบกับอุปสรรคในการนำ Generative AI มาใช้งาน เนื่องจากปัญหาด้านข้อมูลซึ่งมีความสำคัญ ได้แก่
• การเข้าถึงและความครอบคลุมของเทคโนโลยี (41%)
• Generative AI มักให้ผลการทำงานที่ขาดความถูกต้องแม่นยำ (29%)
• การขาดโอกาสในการฝึกอบรมหรือพัฒนาทักษะด้าน AI (29%)
• การใช้ข้อมูลลูกค้าหรือข้อมูลบริษัทที่ไม่ครบถ้วน ในการฝึกโมเดล AI (28%)
• การปกป้องความเป็นส่วนบุคคลและความปลอดภัยของข้อมูล (28%)
ปัจจุบันธุรกิจต่างแข่งขันเพื่อก้าวเป็นผู้นำในการใช้AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผู้บริหารระดับสูงขององค์กรธุรกิจคือกลุ่มที่รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนที่สุด
ด้วยเหตุนี้ Salesforce จึงได้นำเสนอนวัตกรรมGenerative AI ซึ่งมีประสิทธิภาพในการทำงานที่เหนือกว่า เพื่อช่วยสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่มีมูลค่าทางธุรกิจให้กับองค์กรและเพิ่มผลกำไร โดยล่าสุดบริษัทได้เปิดตัว Agentforce ซึ่งเป็นชุดการทำงานของเทคโนโลยี Autonomous AI Agent ซึ่งมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงานและการทำงานขององค์กร ทั้งในด้านการบริการ การขาย การตลาด และการพาณิชย์ นำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพและความพึงพอใจของลูกค้าในระดับที่เทคโนโลยีรูปแบบที่ผ่านมาไม่สามารถทำได้
Agentforce ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ปรับขยายขนาดกำลังคนขององค์กรได้ตามความต้องการด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง โดย AI Agent ของAgentforce สามารถเพิ่มปริมาณการทำงานได้อย่างไร้ขีดจำกัด ทั้งในการวิเคราะห์ข้อมูล ตัดสินใจในสถานการณ์ต่าง ๆ และลงมือปฏิบัติงานช่วยตอบคำถามและให้บริการลูกค้า รวมถึงการประเมินระดับความเป็นไปได้ของผู้มีแนวโน้มเป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย (Leads) และช่วยปรับแต่งแคมเปญทางการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Agentforce มีระบบที่ช่วยให้ทุกองค์กรสามารถสร้าง ปรับแต่ง และติดตั้งใช้การงาน Agent ของตนเองได้อย่างง่ายดาย และปรับให้เข้ากับทุกกรณีการใช้งานสำหรับในทุกอุตสาหกรรม โดยแพลตฟอร์ม Salesforce ซึ่งมี Data Cloud เป็นศูนย์กลางนั้นจะช่วยให้ Agentforce ทำงานเชื่อมต่อกับทุก ๆ แอปพลิชันของ Salesforce ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมอบประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่นในทุก จุดของการทำงานด้วยเทคโนโลยี AI โดย Data Cloud จะรวมและผสานข้อมูลลูกค้า ซึ่งรวมถึงข้อมูล Metadata และข้อมูลจากระบบต่าง ๆ ที่แยกส่วนออกจากกัน และนำข้อมูลเหล่านี้มาเชื่อมโยงทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ เป็นพื้นฐานที่ทำให้ Agentforce สามารถปฏิบัติการได้อย่างเต็มศักยภาพ เพื่อมอบผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กับบริบทของการทำงานและมีความสมบูรณ์ถูกต้องแม่นยำ
จากการที่ลูกค้าในปัจจุบันต้องการความเชื่อมั่นว่าข้อมูลของพวกเขานั้นดำเนินการผ่านระบบที่ปลอดภัยและมีความน่าเชื่อถือ Salesforce จึงได้พัฒนา Einstein Trust Layer ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จาก Generative AI โดยไม่กระทบต่อความปลอดภัยและการปกป้องความเป็นส่วนบุคคลของข้อมูล
คุณธิติรัตน์ ทองถาวร ผู้จัดการประจำ Salesforceประเทศไทย กล่าวว่า “ขณะที่ CEO และผู้บริหารระดับสูงในประเทศไทยมองว่า AI นั้นสามารถสร้างมูลค่าทางธุรกิจที่วัดผลได้ และช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันให้กับองค์กร ในลำดับแรกผู้บริหารควรเริ่มวางพื้นฐานด้วยการผสานรวมข้อมูลต่าง ๆ ขององค์กรให้เป็นหนึ่งเดียวกัน” และกล่าวเสริมว่า “ทุก ๆ ครั้งที่เราได้พูดคุยกับผู้นำทางธุรกิจในเรื่องการนำ AI มาใช้ บทสนทนานั้นมักจะย้อนกลับมาที่เรื่องของข้อมูลและการกำจัดปัญหาข้อมูลที่แยกส่วนและไม่เชื่อมโยงกันเพื่อทำให้ AI ทำงานได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ และมีประสิทธิภาพ หากองค์กรไม่ได้ทำให้ข้อมูลลูกค้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างครบถ้วนถูกต้องแล้ว การริเริ่มด้าน Generative AI ต่าง ๆ ก็จะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้”
คุณธิติรัตน์ กล่าวเสริมว่า “ข่าวดีก็คือ เราสามารถผสานเชื่อมโยงข้อมูลขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายฐานข้อมูล ด้วยการใช้นวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ เช่น การคัดลอกข้อมูลเป็นศูนย์หรือ Zero Copyเทคโนโลยีเหล่านี้จะสร้างความแตกต่างให้กับระบบการปฏิบัติการของแต่ละองค์กรที่ประกอบด้วย Autonomous Agent มนุษย์ และ AI ช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จของลูกค้าให้เติบโตเพิ่มมากยิ่งขึ้นได้ในระดับวงกว้าง”