แกร็บโชว์สร้างรายได้ให้ภูมิภาคกว่า 4 แสนล้าน ให้สินเชื่อพาร์ทเนอร์รวมกว่า 55,000 ล้าน

นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่าปัจจุบันแพลตฟอร์มของแกร็บกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ไม่เฉพาะแต่ผู้ใช้บริการที่มีมากกว่า 35.5 ล้านคนทั่วทั้งภูมิภาค แต่ยังรวมถึงพาร์ทเนอร์คนขับและร้านค้ากว่า 13 ล้านรายที่อาศัยแพลตฟอร์มของเราเป็นช่องทางในการหารายได้แพลทฟอร์มสามารถมีส่วนในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย

ดังนั้น ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความยั่งยืน ซึ่งครอบคลุมใน 3 มิติหลัก ได้แก่ การสร้างโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้คนในสังคม (Social Impact) ซึ่งโฟกัสไปที่การเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถสร้างอาชีพและรายได้จากแพลตฟอร์ม การส่งเสริมและดูแลสิ่งแวดล้อม (Environment) โดยมุ่งใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม และการใช้ธรรมาภิบาลในการกำกับดูแลกิจการเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน (Governance) ทั้งหมดสอดคล้องไปกับพันธกิจ GrabForGood

รายงานความยั่งยืนของแกร็บประจำปี 2566 มีไฮไลท์์สำคัญ ดังนี้

การสร้างโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้คนในสังคม:

พาร์ทเนอร์คนขับและร้านค้าสามารถสร้างรายได้ผ่านแพลตฟอร์มแกร็บได้รวมกันมากกกว่า 1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 4.07 แสนล้านบาท) ขณะที่รายได้ต่อชั่วโมงของพาร์ทเนอร์คนขับเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินโดยให้สินเชื่อพาร์ทเนอร์คนขับและร้านค้าเป็นมูลค่ารวมกว่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 5.55 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 57% โดย 1 ใน 3 ของพาร์ทเนอร์คนขับทั้งแพลตฟอร์มได้รับสินเชื่อจากแกร็บ

พัฒนาทักษะและศักยภาพของพาร์ทเนอร์เพื่อเพิ่มโอกาสในการหารายได้ ด้วยการจับมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาหลักสูตรต่างๆ อาทิ หลักสูตรการเงิน การตลาดดิจิทัล การอบรมภาษาอังกฤษ และภาษาจีน รวมถึงการเรียนรู้เกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า โดยในปี 2566 มีพาร์ทเนอร์คนขับเข้ารับการอบรมออนไลน์ผ่านโครงการ GrabAcademy มากถึง 1.2 ล้านคน

รักษามาตรฐานด้านความปลอดภัย โดย99.99% ของเที่ยวเดินทางในการรับส่งผู้โดยสารและบริการเดลิเวอรีปลอดภัยจากอุบัติเหตุ ขณะที่จำนวนเที่ยวการเดินทางจากให้บริการทั้งสองประเภทเพิ่มขึ้นถึง11% ในปีที่ผ่านมา

การส่งเสริมและดูแลสิ่งแวดล้อม:

ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง71,000 ตัน จากการสนับสนุนให้พาร์ทเนอร์คนขับเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำหรือเป็นศูนย์ ในการให้บริการ 

สนับสนุนการปลูกต้นไม้กว่า 280,000 ต้น จากการบริจาคเงินของผู้ใช้บริการผ่านฟีเจอร์ชดเชยคาร์บอนทุกครั้งที่ใช้บริการเรียกรถและเดลิเวอรี

ลดการใช้ช้อนส้อมพลาสติกไปเป็นจำนวนรวมกว่า 817 ล้านชุด และลดปริมาณขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวได้มากถึง 7,365ตัน จากฟีเจอร์งดรับช้อนส้อมพลาสติกและการส่งเสริมการใช้บรรจุภัณฑ์แบบรีไซเคิลได้

สำหรับในประเทศไทย แกร็บยังคงเดินหน้าสานต่อพันธกิจ GrabForGood อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยในปีที่ผ่านมา นอกจากการพัฒนาและปรับแผนธุรกิจให้สอดรับกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปหลังโควิด โดยยังคงเปิดโอกาสให้คนไทยใช้แพลตฟอร์มของเราในการสร้างรายได้แล้ว เรายังได้ส่งเสริมให้พาร์ทเนอร์คนขับร้านค้าที่มีข้อจำกัดสามารถเข้าถึงบริการทางการเงิน ด้วยการให้สินเชื่อแก่พาร์ทเนอร์กว่า 100,000 ราย

ในด้านสิ่งแวดล้อม เรายังคงมุ่งผลักดันโครงการ Grab EV โดยผนึกความร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจเพื่อสนับสนุนให้พาร์ทเนอร์คนขับเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกันเราก็ยังเดินหน้าโครงการชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset) โดยส่งเสริมให้ผู้ใช้บริการร่วมบริจาคผ่านฟีเจอร์ชดเชยคาร์บอนเมื่อใช้บริการต่างๆ ของแกร็บ ซึ่งเฉพาะในปีที่ผ่านมา เราได้นำเงินบริจาคไปซื้อคาร์บอนเครดิต และปลูกต้นไม้เพื่อชดเชยคาร์บอนได้มากกว่า 150,000 ต้นในจังหวัดกระบี่

นอกจากนี้ เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลกที่ผ่านมา แกร็บ ประเทศไทย ยังได้จัดกิจกรรมGrabForGood เพื่อปลุกจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กับพนักงาน โดยร่วมกับมูลนิธิเทอร์ราไซเคิล ไทย (TerraCycle Thai Foundation)ชวนพนักงานจิตอาสาไปร่วมเก็บขยะในคลองลาดพร้าว พร้อมเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการและการคัดแยกขยะที่ถูกวิธี โดยสามารถเก็บขยะได้เป็นจำนวนกว่า 1.3 ตัน เพื่อนำมาคัดแยกและรีไซเคิลต่อไป

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles