ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2025 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 44,421 จุด -122 จุด หรือ -0.28% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,994 จุด -45 จุด หรือ -0.76% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 19,391 จุด -235 จุด หรือ -1.20% ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิด +0.3%, -1.0% และ -1.6% สิ้นสุดมกราคม ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิด +4.7%, +2.7% และ +1.6% ตามลำดับ
สาเหตุจากนักลงทุนคลายกังวลในระดับหนึ่งกับสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับแคนาดาและเม็กซิโก หลังจากประธานาธิบดีเม็กซิโกออกมาแถลงว่าได้เจรจาลงตัวกับการแก้ปัญหาแนวชายแดนกับประธานาธิบดีทรัมป์ ทำให้สหรัฐชะลอการบังคับใช้อัตราภาษีเก็บขึ้น 25% กับเม็กซิโกไปนาน 30 วัน ก่อนหน้านี้ การแถลงของทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกามีขึ้นในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ผ่านมาว่า ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะประกาศมาตรการเก็บภาษีเพิ่มขึ้นกับประเทศแคนาดา เม็กซิโก และจีน มีผลในวันที่ 4 กุมภาพันธ์นี้
เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2025 คณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟดมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 4.25 ถึง 4.5% เท่าเดิม ส่งผลเป็นการตึงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นครั้งแรกในรอบปี 2025 นี้ และเป็นครั้งแรกใน 4 เดือนผ่านมา หรือนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2024 หลังจากได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวลงถึงสามครั้งต่อเนื่องรวมลดลง 1.0% ในปี 2024 ผ่านมา
ด้านตัวชี้วัดโอกาสการตรึงดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด พบว่า โอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดในมีนาคมอยู่ที่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 41%
ทั้งนี้ สิ้นสุดปี 2024 พบว่า ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง พุ่งสูง +13%, +23% และ +29% ตามลำดับ โดยเฉพาะ ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทำสถิติผลตอบแทนดัชนีหุ้นปิดบวกสูงกว่า 20% เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน