บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแข็งค่าผิดปกติ จนหลายฝ่ายตั้งคำถามว่า ใครคือแรงขับเคลื่อนหลัก คำตอบเริ่มชัดขึ้น หลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ตรวจพบว่า ต้นตอปัญหา คือ ตลาดทองคำผ่านแอป การซื้อขายทองคำผ่านแอปพลิเคชัน จากผู้ให้บริการราว 14–15 ราย มีมูลค่าธุรกรรมรวมสูงถึง ประมาณ 50% ของ GDP ไทย และเติบโตอย่างรวดเร็ว
จุดสำคัญคือผู้ให้บริการเหล่านี้ต้องทำธุรกรรม ขายดอลลาร์–ซื้อเงินบาท (FX) โดยเฉพาะการซื้อขายถี่ ๆ ระดับ วันละ 100–1,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ
เมื่อทองผันผวน = บาทผันผวนแรง โดยผู้ค้าทองรายใหญ่เพียง 3–4 ราย คิดเป็นสัดส่วนราว 8% ของ FX ทั้งตลาดในแต่ละวัน ในวันที่ราคาทองผันผวนแรง ปริมาณ FX พุ่งขึ้นเป็น 20% ของทั้งตลาดและกว่า 70% เป็นฝั่งขายดอลลาร์
ผลลัพธ์คือ เงินบาทแข็งค่ารุนแรงและรวดเร็ว จนจำเป็นต้องมีมาตรการ “คุมเกม” มาตรการใหม่คุมเข้มเฉพาะตลาดทองคำ แบงก์ชาติเตรียมยกระดับการกำกับดูแล โดยเน้นไปที่ KYC ผู้เล่นทองคำเข้มงวดขึ้น ผู้ลงทุนต้องรายงานข้อมูล และเปิดเผยแหล่งที่มาของเงิน เชื่อมโยงการตรวจสอบถึง สรรพากร เตรียมจัดเก็บ ภาษีธุรกิจเฉพาะ (SBT) ครอบคลุมถึง บุคคลธรรมดา มาตรการนี้ยังช่วยจำกัด การฟอกเงินและเงินเทา ที่ไหลผ่านตลาดทอง
ผลต่อค่าเงินบาท เมื่อการเก็งกำไรทองลดลง ความจำเป็นในการทำ FX (ขายดอลลาร์ ซื้อบาท) จะลดลงตาม ค่าเงินบาทมีแนวโน้มผันผวนน้อยลงจากฝั่งแข็งค่าในระยะสั้น แต่ยังไม่ใช่จังหวะที่บาทจะอ่อนค่าเร็ว ๆ นี้