แบงก์ชาติมั่นใจดอกเบี้ยระยะสั้น 2% พอรับมือศึกสงครามภาษียันเศรษฐกิจโลกและไทยชะลอตัวได้ มองผลกระทบสหรัฐขึ้นภาษีอีก 10% กับจีนต้องใช้เวลา ชี้เงินบาทเหมาะสมแล้ว แม้จะแข็งค่า 5% ใน 12 เดือนผ่านมา

แบงก์ชาติมั่นใจ ดอกเบี้ย ระยะสั้น 2% พอรับมือศึกสงครามภาษียันเศรษฐกิจโลกและไทยชะลอตัวได้ มองผลกระทบสหรัฐขึ้นภาษีอีก 10% กับจีนต้องใช้เวลา ชี้เงินบาทเหมาะสมแล้ว แม้จะแข็งค่า 5% ใน 12 เดือนผ่านมา

นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน และยังเป็นหนึ่งในกรรมการของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ กล่าวว่า การลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านไปลงมาเหลือที่ระดับ 2% นั้น นับเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเปลี่ยนให้เกิดความแข็งแกร่งเพื่อรับมือกับหลายๆ สถานการณ์ รวมถึงความขัดแย้งด้านภาษีการค้าที่เพิ่มมากขึ้น

ถึงแม้ว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จะเพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษีสูงเป็น 20% กับสินค้าจากประเทศจีน อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ลดลงมาระดับ 2% ในปัจจุบัน มีศักยภาพเพียงพอที่จะรองรับภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลก

ผลกระทบขนาดมากของการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าที่มีต่อประเทศจีนจะมาจากการขึ้นอัตราภาษี 10% ในครั้งแรกของสหรัฐกับสินค้าจีน และยังคงต้องติดตามเฝ้าดู การขึ้นอัตราภาษีอีก 10% กับสินค้าของจีนจะส่งผลกระทบอย่างไรต่อไป สำหรับการคาดการณ์ในอนาคตนั้น เครื่องมือที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอยู่ในปัจจุบัน ยังสามารถรับมือกับภาวะช็อกนี้ได้ และมองว่าคงจะใช้ระยะเวลานานจากนี้ไป ที่จะผลกระทบทางลบจะส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องมีการทบทวนเครื่องมืออีกครั้ง

ถ้าหากสงครามภาษีได้นำไปสู่ความรุนแรงที่มากขึ้นต่อเนื่อง นั่นจะส่งผลทำให้เกิดความเสี่ยงจากการนำเข้าสินค้าหรือวัตถุดิบจากต่างประเทศรวมถึงประเทศจีน เพิ่มมากขึ้น เศรษฐกิจประเทศไทยอาจจะได้รับผลกระทบทางอ้อมในแง่ความต้องการที่จะบริโภคสินค้าผลิตจากจีนลดต่ำลง เนื่องจากประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตที่ส่งออกสินค้าไปยังประเทศจีน ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจับตาอย่างใกล้ชิดกับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย

สำหรับในประเด็นค่าเงินบาทเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบันนั้น ธนาคารไทยยังมองไม่เห็นว่าระดับค่าเงินบาทในขณะนี้จะเป็นประเด็นสำคัญ ธนาคารในประเทศไทยจะเฝ้าติดตามดูความผันผวนใดๆก็ตามที่มากจนเกินไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดของภาคเอกชน และส่งผลต่อภาวะช็อกที่ทำให้มีมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจไทย ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันค่าเงินบาทเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐพบว่าแข็งค่าขึ้นมากกว่า 5% ซึ่งทำให้ทางรัฐบาลมองว่ากลายเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการส่งออก และภาคการท่องเที่ยวท่ามกลางค่าเงินในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เงินรูเปี๊ยะ อินโดนีเซีย และเงินเปโซ ฟิลิปปินส์ ที่อ่อนค่าลงมากกว่า 3% เมื่อเทียบกับในช่วงเวลาเดียวกัน

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles