แบงก์ชาติหั่นดอกเบี้ยส่งท้ายผู้ว่าการเศรษฐพุฒิเกษียณสิ้นเดือนกันยายนนี้ เสียงเอกฉันท์ลง 0.25% กดดอกเบี้ยลงต่ำสุดในกว่า 2 ปีแตะ 1.5% มีผลทันที รวมหั่นดอกเบี้ยลง 4 ครั้งรลดลง 1% ใน 10 เดือนผ่านมา

แบงก์ชาติหั่นดอกเบี้ย ส่งท้ายผู้ว่าการเศรษฐพุฒิเกษียณสิ้นเดือนกันยายนนี้ เสียงเอกฉันท์ลง 0.25% กดดอกเบี้ยลงต่ำสุดในกว่า 2 ปีแตะ 1.5% มีผลทันที รวมหั่นดอกเบี้ยลง 4 ครั้งรลดลง 1% ใน 10 เดือนผ่านมา

วันนี้ 13 สิงหาคม 2025 เมื่อเวลา 14.30 น. ธนาคารแห่งประเทศไทย แถลงมีมติเป็นเอกฉันท์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจากเดิม 1.75% ลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 1.5% ไม่เพียงทำให้เป็นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปีผ่านมา หรือนับตั้งแต่ปี 2023 แต่ส่งผลให้เป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นรวมทั้งหมด 4 ครั้ง คิดเป็นลดลง 1% นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2024 หรือในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา ที่สำคัญ การประชุมปรับลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าววันนี้ถือเป็นการส่งท้ายการลดอัตราดอกเบี้ยภายใต้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนปัจจุบันนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ซึ่งจะพ้นจากตำแหน่งในวันที่ 30 กันยายนนี้

สำหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 8 ตุลาคม 2025 ซึ่งจะอยู่ภายใต้การบริหารของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ นายวิทัย รัตนากร จะดำรงตำแหน่งในวันที่ 1 ตุลาคม 2025 นี้ ในช่วงที่ผ่านมา นายวิทัย รัตนากร เปิดเผยว่าการปรับตราดอกเบี้ยจะเป็นการสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2025 ที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยได้กลับเป้าคาดการขยายตัวเศรษฐกิจหรือจีดีพีปี 2025 แตะที่ระดับ 2.3% โดยประเมินว่าการส่งออกของไทยจะขยายตัวที่ 4% ขณะที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ระดับ 3.0% ในไตรมาสที่ 2 หลังจากนั้นในช่วงครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจาก ผลกระทบของอัตราการจัดเก็บภาษีต่างตอบแทนที่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 7 สิงหาคมเป็นต้นไปรวมถึงภาวะการบริโภคในประเทศที่ชะลอตัวลง

นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย แถลงผลการประชุม กนง. ในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ว่า มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เป็น 1.50% ต่อปี โดยให้มีผลทันที คณะกรรมการนโยบายการเงิน พิจารณาว่ามองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งหลังของปี 2568 มีแนวโน้มชะลอลงจากช่วงครึ่งแรกของปี เป็นจากผลกระทบทั้งทางตรง และทางอ้อมของมาตรการภาษีสหรัฐฯ จำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มระยะใกล้ที่ลดลงตามการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจ SMEs ลูกจ้าง และผู้ประกอบอาชีพอิสระ

ด้านการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวในระดับต่ำจากความเชื่อมั่นและแนวโน้มรายได้ที่ชะลอลง โดยต้องติดตามผลกระทบของการเก็บภาษีสวมสิทธิส่งออก หรือ transshipment และการแข่งขันกับสินค้านำเข้า

สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ โดยราคาอาหารสดปรับลดลงจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย และราคาหมวดพลังงานที่โน้มลงตามราคาน้ำมันดิบโลก อย่างไรก็ดี ราคาสินค้าและบริการอื่นไม่ได้ลดลงตามเป็นวงกว้าง ซึ่งสะท้อนในอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่มีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่อยู่ในระดับต่ำมีส่วนช่วยบรรเทาไม่ให้ค่าครองชีพของประชาชนและต้นทุนของธุรกิจยิ่งสูงไปกว่านี้

สำหรับสินเชื่อในไทยหดตัวต่อเนื่องตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้น โดยเฉพาะใน SMEs และครัวเรือนกลุ่มรายได้ต่ำ ประกอบกับการชำระคืนหนี้ที่เพิ่มขึ้นและความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ที่ปรับลดลงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ สำหรับคุณภาพสินเชื่อยังปรับด้อยลงโดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs และสินเชื่อที่อยู่อาศัย ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าเทียบกับสกุลเงินภูมิภาค ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยปรับลดลงตามคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจ

คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามการขยายตัวของสินเชื่อและการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทซึ่งอาจมีนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมทั้งสนับสนุนมาตรการทางการเงินเพื่อลดต้นทุนทางการเงินและบรรเทาภาระหนี้ของกลุ่มเปราะบาง

ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินในระยะข้างหน้าควรอยู่ในระดับผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2568 และ 2569 ขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ อย่างไรก็ดี มาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างและขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งเศรษฐกิจบางภาคส่วนมีความเปราะบางมากขึ้นโดยเฉพาะ SMEs

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles