น.ส.ชญวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษก ธปท. กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนสิงหาคมชะลอลงจากเดือนก่อน จากภาคเกษตรและการผลิตภาคอุตสาหกรรม ทำให้การค้าและขนส่งลดลงตาม โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปร้อยละ -0.79 จำนวนผู้ประกันตนในตลาดแรงงานร้อยละ -0.1 ดุลบัญชีเดินสะพัดหดตัว -1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการส่งออกลดลงร้อยละ -0.1 จากเดือนก่อน จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มร้อยละ 2.8 โดยนิยมมาเที่ยวแบบครอบครัวมากขึ้น ทำให้ยอดสะสม 23.5 ล้านคน ราคาผักและผลไม้ลดลง เนื่องจาผลผลิตออกสู่ระบบ เพราะปริมาณน้ำฝนมีเพียงพอ ราคาเครื่องดื่มลดลง ราคาน้ำมันขายปลีกทรงตัว สอดคล้องกับราคาน้ำมันตลาดโลก
สำหรับ กรณีประธานบอร์ดสภาพัฒน์ระบุว่า ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยนับว่าสูงเกินไป วงเงินถึง 9 ล้านล้านบาท จึงควรนำเงินบางส่วนประมาณ 3 ล้านล้านบาท นำออกมาหาผลตอบแทนเพิ่มเติม ด้วยการตั้งกองทุนความมั่งคั่งของประเทศ หรือ (Sovereign Wealth Funds) เช่น สิงคโปร์ ได้ตั้งกองทุน GIC เรื่องดังกล่าวได้มีข้อเสนอมาแล้วหลายครั้ง จึงตอบเหมือนเดิมว่า ธปท.ไม่ได้คัดค้านการรตั้งกองทุนความมั่งคั่งฯ เพื่อหาผลตอบแทนเพิ่ม แต่ต้องศึกษาให้รอบคอบ และขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละประเทศ
โดยการตั้งกองทุนความมั่งคั่งฯ ต้องดูขนาดเม็ดเงินให้เหมาะสม การบริหารจัดการที่ดี มี ความโปร่งใส ธรรมาภิบาลต้องสูงมาก กรณีประเทศสิงคโปร์ ได้ตั้งกองทุน GIC เนื่องจากมีรายได้จากสินค้าและด้านบริการ เข้ามาสะสมทุนสำรองเพิ่มเป็นหลัก บางประเทศมีทรัพยากรที่มั่งคง เช่น ตะวันออกกลางมีบ่อน้ำมัน สามารถขายน้ำมันออกได้ทันที นำมาเพิ่มในทุนสำรอง เนื่องจากทุนสำรองระหว่างประเทศมีสองรูปแบบ คือ ทุนสำรอง ที่เป็นเงินลงทุน FDI ของต่างชาติ ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ และลงทุนในตลาดทุน สัดส่วนดังกล่าวต้องกันเอาไว้รองรับการแลกสกุลดอลลาร์หรือเงินต่างประเทศกลับไป หากไม่มีให้แลกจะกระทบต่อเครดิตของประเทศ
กรณีแนวโน้มราคาทองคำ ปรับเพิ่มสูงต่อเนื่อง ทำให้ราคาขยับสูงถึง 60,000 บาทนั้น เตรียมเชิญสมาคมค้าทองคำ มาหารือเพิ่มเติมอีกครั้งในสัปดาห์นี้ และต้องดูว่า ผู้ประกอบการร้านค้าทอง จะมีข้อเสนอให้ช่วยดูแลราคาทองคำเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง หลังมีกระทบต่อเงินบาทแข็งค่า โดย ธปท. ย้ำให้เน้นซื้อขายกับต่างประเทศในสกุลดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากขณะนี้มีหลายปัจจัยในต่างประเทศผลักดันให้ราคาทองคำปรับเพิ่มสูงขึ้น ยอมรับว่า Net Erros and Omission (NEO) ช่วงไตรมาส 3 สูงขึ้นเป็น 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มจากไตรมาส 1 มีจำนวน 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ยอมรับว่า ยอดสุทธิ NEO ทั้งหมดไม่ใช่เงินสีเทา
กรณีรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “คนละครึ่ง” และดูแลผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ วงเงินรวมกัน 6.6 หมื่นล้านบาท มองว่า วงเงินดังกล่าวมีสัดส่วนร้อยละ 0.4 ของ GPD แต่มองว่า คงกระตุ้นจีดีพีได้ไม่ถึงร้อยละ 0.4 เนื่องจากเป็นเงินสำหรับการใช้จ่ายหมุนเวียน ไม่ได้เกิดการลงทุน เกิดการจ้างงาน แต่จะสร้างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวม ทำให้การใช้จ่าย การค้าขายดีขึ้นในช่วง 3 เดือน ช่วงปลายปีนี้