แอร์เอเชีย ประกาศความร่วมมือระยะยาวกับแอร์บัส ผู้ผลิตเครื่องบินในยุโรป เพื่อผลักดันการศึกษาวิจัยด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้านการบินเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในภูมิภาคอาเซียน
ในบันทึกข้อตกลงระหว่างแผนกด้านความยั่งยืนของแอร์เอเชียและแอร์บัสได้จัดทำความร่วมมือเพื่อสำรวจการผลิตเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (SAF) แบบกระจายศูนย์โดยใช้วัตถุดิบและเทคโนโลยีทางเลือกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความร่วมมือที่อิงการวิจัยนี้มุ่งหวังที่จะแสวงหาโอกาสในการสนับสนุนการพัฒนาเชิงพาณิชย์ และการขยายอุปทานเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืนในภูมิภาค
ยัพ มุน ชิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านความยั่งยืน กลุ่มแคปปิตอล เอ กล่าวว่า “แอร์เอเชียเป็นพันธมิตรหลักของแอร์บัสในอาเซียน เพื่อทดสอบความเป็นไปได้ของการผลิตเครื่องบินขนส่งทางอากาศที่พัฒนาโดยใช้วัตถุดิบและเทคโนโลยีทางเลือก รวมถึงโครงการ ATM ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากทีมนวัตกรรมของแอร์บัส ในฐานะสายการบินระดับภูมิภาคที่มีฐานอยู่ใน 5 ประเทศอาเซียน
เรานำประสบการณ์การดำเนินงานที่เป็นผู้นำในภูมิภาคมาเสริมความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของแอร์บัส ความร่วมมือนี้ช่วยวางรากฐานสำหรับการสร้างโครงการร่วมกันในหลายระดับ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายในการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อม”
“ความร่วมมือดังกล่าวเป็นการตอบสนองภาคการบินโดยตรง ในมิติด้านการลงทุนและขยายความเป็นได้ในการแก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งมีความสำคัญต่อการลดการปล่อยคาร์บอนในอุตสาหกรรม นอกเหนือจากการปรับปรุงประสิทธิภาพและการนำ SAF มาใช้แล้ว เส้นทางสำคัญของแอร์เอเชียในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 คือการอัปเกรดฝูงบินของสายการบินให้เป็นรุ่นที่ประหยัดเชื้อเพลิงมากที่สุด”
ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แอร์เอเชียได้รับมอบเครื่องบิน A321neo ลำใหม่ลำแรกหลังโควิด-19 โดยสายการบินจะรับเครื่องบินเพิ่มอีก 5 ลำในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ เพื่อทำการบินในมาเลเซียและไทย เครื่องบินแอร์บัสทุกลำที่ส่งมอบให้กับแอร์เอเชียตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไปจะใช้เชื้อเพลิงผสมที่มี SAF 5%
จูลี คิทเชอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายความยั่งยืนของแอร์บัส กล่าวว่า “แอร์บัสร่วมสนับสนุนการลดการปล่อยคาร์บอนในอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก โดยเราทำงานร่วมกับลูกค้าในทุกภูมิภาค พิจารณาทางเลือกและทางออกทั้งหมดที่มีอยู่ในปัจจุบัน พร้อมร่วมมือกันวิจัยเทคโนโลยีในอนาคต แอร์เอเชียเป็นพันธมิตรหลักในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเราตื่นเต้นที่จะได้ร่วมงานกับสายการบิน เพื่อสำรวจแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ซึ่งรวมถึงการจัดการการจราจรทางอากาศและการขยายขนาดการผลิตและการจัดจำหน่ายเครื่องบินขนส่งทางอากาศ”
ปัจจุบันแอร์เอเชียมีคำสั่งซื้อเครื่องบินรุ่น A321 จำนวน 361 ลำ เพื่อรองรับการเติบโตของฝูงบินและความต้องการเปลี่ยนเครื่องบินของสายการบินกลุ่มนี้ คาดว่าภายในปี 2578 การอัปเกรดเครื่องบินจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของแอร์เอเชียได้มากถึง 10% เมื่อเทียบกับปี 2562 ประสิทธิภาพในการดำเนินงานและความปลอดภัยทางอากาศคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้อีก 15% ขณะที่กลุ่มสายการบินกำลังวางแผนเส้นทางสู่การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593
ในปี 2566 แอร์เอเชียลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 130,000 ตันจากเครือข่ายการบินที่ให้บริการด้วยอากาศยานแบบลำตัวแคบ ด้วยการดำเนินการตามมาตรการประสิทธิภาพการดำเนินงานมากกว่า 20 มาตรการ ซึ่งเทียบเท่ากับประสิทธิภาพในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการปลูกต้นไม้มากกว่า 2 ล้านต้น** มาตรการเหล่านี้ช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิงได้ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และลดต้นทุนคาร์บอนแฝงได้กว่า 388,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจดังกล่าว ได้กำหนดเงื่อนไขร่วมกันตรวจสอบมาตรการขั้นสูงเพื่อปรับปรุงการจัดการการจราจรทางอากาศ (ATM) เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยใช้ประโยชน์จากโปรแกรมประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงชั้นนำของอุตสาหกรรมของแอร์เอเชียและบทบาทนำของแอร์บัสในฐานะผู้นำระดับโลกด้านการบิน อวกาศ และบริการที่เกี่ยวข้อง องค์กรต่างๆ เพื่อนำมาสู่กระบวนการที่สามารถนำไปใช้ได้ซึ่งพัฒนาขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัย Single European Sky ATM Research (SESAR)* และประเมินความเหมาะสมสำหรับการปรับให้เข้ากับน่านฟ้าอาเซียน