แอสตัน มาร์ติน (Aston Martin) แบรนด์รถยนต์ซุปเปอร์คาร์ระดับตำนานสุดหรูหราและคลาสสิก ซึ่งมีอายุมากกว่า 112 ปีจากสหราชอาณาจักร เปิดเผยว่า เตรียมตัดลดค่าใช้จ่ายด้วยการปลดพนักงาน 5% หรือมากกว่า 170 คนทั่วโลกจากจำนวนพนักงานในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังได้ประกาศเลื่อนการเปิดตัวรถยนต์แอสตันมาร์ตินที่ขับเคลื่อนด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้า หรือบีอีวี 100% ออกไปอย่างไม่มีกำหนด สาเหตุจากผลการดำเนินงานที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย รวมถึงต้องการขับเคลื่อนการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ในอนาคต
นายแอนเดรียล ฮอลล์มาร์ค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ แอสตัน มาร์ติน เปิดเผยว่า ชหลังจากในช่วงที่ผ่านมาแอสตันมาร์ตินได้เปิดตัวรถรุ่นใหม่ในเชิงรุกอย่างเข้มข้น จัดการความท้าทายในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เปลี่ยนแปลงไปมากนั้น ความสนใจและ. มุ่งเน้นได้ย้ายมาเป็นการให้ความสำคัญกับการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงจะต้องสร้างผลการดำเนินงาน ด้านการเงินอย่างยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญ
การปลดพนักงานมากกว่า 170 คนในครั้งนี้ส่งผลให้มาร์ตินสามารถประหยัดค่าใช้จ่าย 25 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง 31.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1,075 ล้านบาท สำหรับในด้านการผลิตและการตลาดนั้นแอสตันมาร์ตินจะหันไปเน้นลำดับความสำคัญในรถประเภทปลั๊กอิน ไฮบริด หรือพีเอชอีวี ในชื่อรุ่นวัลฮัลลา (Valhalla) นอกจากนี้ ได้ตัดสินใจเลื่อนการเปิดตัวและผลิตรถอีวีแอสตันมาร์ตินครั้งแรกออกไปเป็นช่วงปลายทศวรรษนี้ สาเหตุจากตลาดรถอีวีชะลอตัวอย่างมาก รวมถึงความต้องการของผู้บริโภคที่สนใจรถอีวีระดับหรูหราหดตัวลงต่อเนื่อง
ทั้งนี้ แอสตัน มาร์ติน ได้รายงานผลประกอบการเบื้องต้นในปีงบประมาณถึงสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2024 โดยเฉพาะการดำเนินงานผลขาดทุนก่อนหักภาษีอยู่ที่ 255.5 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง หรือกว่า 10,897 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมาที่ 171.8 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง หรือกว่า 7,327 ล้านบาท ในขณะที่รายได้ของบริษัทตกต่ำลงจาก 1,630 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง หรือกว่า 69,520 ล้านบาท มาอยู่ที่ 1,580 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง หรือกว่า 67,387 ล้านบาท