ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ ยักษ์ใหญ่ธนาคารพาณิชย์ชื่อดังระดับโลกในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ทองคำกลายเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ดีที่สุดในการเป็นเครื่องมือประกันความเสี่ยงของ 2 ปัจจัยลบ ได้แก่ ความเสี่ยงเงินเฟ้อ และความเสี่ยงด้านความขัดแย้งการเมืองระดับภูมิภาคของโลก ทำให้ในกรณีพื้นฐาน หรือ Base Case จะพบว่าราคาทองคำโลกอาจจะเคลื่อนไหวขึ้นไปที่ระดับ 2,700 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือเพิ่มขึ้นอีก 16% ภายในสิ้นปี 2024 นี้ ในส่วนของปัจจัยบวกที่สนับสนุนราคาทองคำโลก ได้แก่ ความต้องการซื้อทองคำของธนาคารกลางในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ และความต้องการบริโภคทองคำจากครัวเรือนในแถบเอเชีย
หากกรณีเกิดสงครามการค้าเกิดขึ้นในอนาคต ทองคำอาจเป็นโล่ป้องการภาวะตลาดหุ้นที่จะร่วงตกต่ำ นอกจากนี้ ราคาทองคำยังคงมีช่วงว่างของราคาที่จะปรับขึ้นได้ ถ้าหากความกังวลเกี่ยวกับภาวะหนี้สาธารณะสหรัฐยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงฝ่ายบริหารสูงสุดของธนาคารกลางสหรัฐหลังได้ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2024
ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ เคยคาดการณ์ราคาทองคำจะขึ้นถึงระดับ 2,700 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ เมื่อช่วงต้นไตรมาสที่ 2 ผ่านมา ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2024 ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ ได้ปรับขึ้นราคาทองคำโลกสิ้นปีนี้จากเดิมที่ระดับ 2,300 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ มาเป็น 2,700 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือเพิ่มขึ้น 400 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์
เมื่อวันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ผ่านไป พบว่าราคาทองคำส่งมอบทันที หรือ Gold Spot ปิดที่ 2,324.53 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ราคาไม่เปลี่ยนแปลง ด้านราคาทองคำล่วงหน้า หรือ Gold Future นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ระดับ 2,339.60 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +3.00 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +0.1% ส่งผลราคาปิดขึ้น 2 วันติดกันรวม +26.40 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +1.1%
ทั้งนี้ สิ้นสุดไตรมาสที่ 2 ผ่านไป ปรากฏว่า ราคาทองคำส่งมอบทันที หรือ Gold Spot ปิดสุทธิรายไตรมาสที่ระดับ 2,336 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ เพิ่มขึ้นกว่า +5% จากไตรมาสที่ 1 ปีนี้ นอกจากนี้ ยังทำสถิติราคาทองคำปิดรายไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ รวมถึงเป็นราคาปิดรายไตรมาสที่ 3 ต่อเนื่องอีกด้วย ที่สำคัญ ใน 12 เดือนผ่านมาถึงสิ้นสุดไตรมาสที่ 2 ปีนี้ ผลตอบแทนจากการลงทุนทองคำพุ่งทะยานสูงถึง 21%