วันนี้ 10 ธันวาคม 2568 นายนิกรเดช พลางกูร โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทย กล่าวแถลงว่า กรณีกระแสข่าวที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ปธน.สหรัฐ จะยกหูโทรศัพท์หาผู้นำไทยและกัมพูชานั้น จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการติดต่อจากฝ่ายสหรัฐฯ หากมีการพูดคุยกันจริง ไทยจะรับฟังก่อนว่าผู้นำสหรัฐฯ ต้องการส่งสารอะไร โดยคาดว่าอาจเป็นเพียงข้อความแสดงความหวังดีต่อสองประเทศ ทั้งนี้ หากมีข้อเสนอให้เจรจา ไทยยังคงยืนยันจุดยืนเดิมว่ายังไม่พร้อม คำตอบคงเป็นคำตอบเดียวกันกับที่เราให้ฝ่ายมาเลเซีย คือฝ่ายไทยยังไม่พร้อม นอกจากนี้ ขอปฏิเสธรายงานข่าวที่ระบุว่า ไทยตอบรับข้อเสนอหยุดยิงจากนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย โดยยืนยันว่า ข่าวดังกล่าวไม่มีมูลความจริง และนายกรัฐมนตรีไม่ได้ตอบรับข้อเสนอใด ๆ
กองกำลังบูรพาออกประกาศที่ 166/2568 เรื่อง ห้ามบุคคลออกนอกเคหสถานภายในระหว่างระยะเวลาที่กำหนด โดยระบุว่า ด้วย พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2453 กำหนดให้อำนาจแก่ฝ่ายทหารในเขตพื้นที่ประกาศกฎอัยการศึก เพื่อให้เกิดความมีเสถียรภาพ มีความมั่นคง มีความปลอดภัย เกิดความสงบสุขของประชาชนในพื้นที่ และรอดพ้นจากความหวาดระแวงภัยคุกคามจากภายนอกประเทศ เพื่อรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยของชาติ รวมถึงชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทย ดังนี้ ข้อ 1 ห้ามบุคคลออกนอกเคหสถานภายในระหว่างระยะเวลา 19.00-05.00 น. ในพื้นที่ 4 อำเภอ ตามแนวชายแดน ได้แก่ อ.ตาพระยา อ.โคกสูง อ.อรัญประเทศ และ อ.คลองหาด
ข้อ 2 ใช้มาตรการตามกฎหมาย ให้การปฏิบัติยังคงเป็นไปตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 อย่างเคร่งครัด อำนาจที่ให้นี้ ครอบคลุมถึงการควบคุมพื้นที่ การควบคุมบุคคล การตรวจค้นที่อาจก่อให้เกิดความไม่สงบ หรือกระทบต่อความมั่นคง
ข้อ 3 การมีผลบังคับใช้ประกาศนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ลงนามเป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 10 ธ.ค. 2568
กองบัญชาการกองทัพไทย เผย เมื่อคืนที่ผ่านมา (9 ธ.ค. 68) กัมพูชาลำเลียงรถดาวเทียม และรถองค์ประกอบของระบบจรวดหลายลำกล้อง PHL-03 ที่มีระยะยิงสูงสุด 130 กม. เข้าพื้นที่ จังหวัดกัมปงธม ของกัมพูชา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยการประเมินมูลค่าความเสียหายทางการค้าโดยตรง (กรณีปิดด่านตลอดปี) ไทยจะสูญเสียการส่งออกประมาณ 66,610 ล้านบาท และไทยจะสูญเสียสินค้านำเข้าจำเป็นราว 20,370 ล้านบาท GDP ของไทยอาจหดลง 0.74% ในปี 2569 ขณะที่กัมพูชาจะเผชิญภาวะเงินเฟ้อสูง เนื่องจากพึ่งพาสินค้าทุนจากไทยเกือบทั้งหมด ระบบโลจิสติกส์ข้ามแดนหยุดนิ่ง การขนส่งสินค้าต้องเปลี่ยนเส้นทางผ่านเวียดนาม–ลาว ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น 25–40% และกระทบห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคทั้งระบบ
ขณะเหตุไม่สงบและข่าวลือการกวาดล้างทำให้แรงงานกัมพูชาในไทยกว่า 780,000 คน เดินทางกลับประเทศอย่างฉับพลัน ก่อให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคก่อสร้าง ประมง และเกษตรแปรรูป ต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้นทันที ส่งผลให้กัมพูชาต้องสูญเสียเม็ดเงินโอนกลับจากแรงงานมูลค่ากว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่เป็นเสาหลักของเศรษฐกิจครัวเรือน
ด้านการท่องเที่ยว ชายแดนตราด–จันทบุรี–สระแก้ว–อุบลราชธานี กลายเป็นพื้นที่ “Conflict Zone” บริษัทประกันต่างชาติประกาศไม่คุ้มครองการเดินทาง ส่งผลให้การท่องเที่ยวในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ทรุดฮวบ ยอดยกเลิกห้องพักในไฮซีซั่นเกือบ 100%
หากความขัดแย้งยืดเยื้อ อาจเกิดการไหลออกของการลงทุนต่างชาติ (FDI Outflow) ในภาคอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และดิจิทัล ซึ่งไทยแข่งขันกับเวียดนามโดยตรง รวมถึงประเด็นที่มีมูลค่ามากที่สุดแต่ถูกพูดถึงน้อยที่สุดคือ “อนาคตของ OCA” หรือพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ที่มีแผนพัฒนาร่วมกัน การระงับ MOU 2544 ทำให้ความหวังดึงก๊าซธรรมชาติมูลค่าประเมินกว่า 10 ล้านล้านบาท ขึ้นมาใช้ต้องเลื่อนออกไปแบบไม่มีกำหนด
สำหรับฉากทัศน์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ในฉากทัศน์ที่ 1 ไม่ว่าเหตุปะทะจะจบเร็วหรือยืดเยื้อ คาดด่านชายแดนจะยังปิดยาว กระทบเศรษฐกิจ การค้า ความสัมพันธ์ของทั้งสองชาติจะถูกลดระดับ เสี่ยงต่อการลุกลามเป็นความขัดแย้งเรื้อรัง
ฉากทัศน์ที่ 2 การแทรกแซงรอบใหม่ของมหาอำนาจสหรัฐ อาจกลับมากดดันด้วยการระงับการเจรจาการค้าแบบไม่มีกำหนด และอาจนำมาตรการทางภาษีการค้าอื่น ๆ มากดดันทั้งสองชาติเพื่อให้กลับสู่โต๊ะเจรจา เกิดการหยุดยิงฉบับใหม่แต่เปราะบาง