ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังสำรวจความเห็นต่อมาตรการ Easy E-Receipt 2.0 ว่าส่งผลต่อการใช้จ่ายในช่วงตรุษจีนอย่างไร พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 62.4% ตอบว่า ไม่มีผล ขณะที่กลุ่มตัวอย่าง 30.9% ตอบว่าใช้เพิ่มขึ้น และที่เหลืออีก 6.7% ตอบว่าใช้เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ดี หากมองผลของมาตรการ Easy E-Receipt 2.0 ต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม จะพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 52.5% เชื่อว่าช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ปานกลาง รองลงมาก 19.9% เชื่อว่าช่วยได้มาก โดยมีเพียง 2.8% ที่ตอบว่า ไม่ช่วยเลย
สำหรับการสำรวจความเห็นของผู้ประกอบการ-ร้านค้า ต่อช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 68 พบว่าผู้ประกอบการ-ร้านค้าส่วนใหญ่ 50.7% เชื่อว่าประชาชนจะมีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น รองลงมา 41.1% เชื่อว่าไม่เปลี่ยนแปลง และมีผู้ประกอบการ-ร้านค้าเพียง 8.2% ที่เชื่อว่าประชาชนจะใช้จ่ายลดลง สำหรับสาเหตุที่ผู้ประกอบการ-ร้านค้า เชื่อว่าประชาชนจะจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นในเทศกาลตรุษจีนปีนี้ อันดับแรก เป็นเพราะราคาสินค้าแพงขึ้น รองลงมา ผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ตามลำดับ
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการ-ร้านค้าส่วนใหญ่ 39.7% มีความเห็นสอดคล้องกับประชาชน โดยมองว่าเทศกาลตรุษจีนปีนี้ บรรยากาศจะคึกคักกว่าปีก่อน ขณะที่ผู้ประกอบการ 31.7% เชื่อว่าบรรยากาศจะคึกคักเท่ากับปีก่อน ส่วนผู้ประกอบการอีก 28.6% เชื่อว่าจะคึกคักน้อยกว่าปีก่อน โดยผู้ประกอบการร้านค้าในภาพรวมส่วนใหญ่ มองว่ามาตรการ Easy E-Receipt 2.0 ไม่ได้มีผลต่อยอดขายในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้เท่าใดนัก แต่เมื่อสอบถามความเห็นของผู้ประกอบการร้านค้าเฉพาะที่สามารถออก E-Receipt ได้ จะพบว่า ส่วนใหญ่ถึง 51.1% ตอบว่ามีผลให้ยอดขายในช่วงตรุษจีนเพิ่มขึ้น
กรณีเงินโอน 10,000 บาท เฟส 1 ที่ให้กับกลุ่มเปราะบางนั้น ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ 53.9% ตอบว่ามีผลช่วยให้เศรษฐกิจในพื้นที่ดีขึ้น รองลงมา 28.8% ตอบว่าไม่เปลี่ยนแปลง และอีก 17.3% ตอบว่ามีผลช่วยให้เศรษฐกิจในพื้นที่ดีขึ้นมาก ส่วนกรณีเงินโอน 10,000 บาท เฟส 2 ที่ให้กับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปนั้น ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ 46.3% เชื่อว่าไม่มีผลเปลี่ยนแปลง รองลงมา 39.8% เชื่อว่าจะมีผลช่วยให้เศรษฐกิจในพื้นที่ดีขึ้น และอีก 13.9% เชื่อว่ามีผลให้เศรษฐกิจในพื้นที่ดีขึ้นมาก
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่าความเชื่อมั่นของประชาชนเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ ต.ค. พ.ย. ธ.ค. จากผลของการเริ่มแจกเงินหมื่นเฟสแรก, การจ่ายเงินช่วยเกษตรกรไร่ละ 1 พันบาท, มาตรการคุณสู้ เราช่วย รวมทั้งมาตรการที่จะมีผลในไตรมาสแรกปีนี้ เช่น Easy E-Receipt 2.0 และเงินหมื่น เฟส 2 สำหรับผู้สูงอายุ จึงส่งผลให้การใช้จ่ายช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 3% และคาดว่าตรุษจีนปีนี้ การใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้น 4.5% จากปีก่อน โดยมูลค่าแตะ 50,000 ล้านบาท เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีนับจากช่วงโควิด
และจากผลสำรวจความเห็นทั้งในฝั่งของประชาชน (Demand) และฝั่งผู้ประกอบการร้านค้า (Supply) ทำให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างมองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ จะมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ส่วนในระยะยาวนั้น คงต้องจับตาปัจจัยอื่นประกอบ โดยเฉพาะนโยบายทรัมป์ 2.0 ซึ่งน่าจะเริ่มเห็นความเห็นความชัดเจนของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้ในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้เป็นต้นไป
โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยปี 68 จะขยายตัวได้ที่ 2.0-2.5% ซึ่งต่ำกว่าปี 67 ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.5-2.7% (ตัวเลข GDP ปี 67 อย่างเป็นทางการจากสภาพัฒน์ จะแถลงวันที่ 17 ก.พ.) โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ มีผลช่วยแน่ในระยะสั้น ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ปีนี้เห็นการฟื้นตัวแน่นอน แต่ในช่วงไตรมาส 2 จะเป็นจุด check point ซึ่งจะเริ่มเห็นชัดเจนว่านโยบายทรัมป์ จะส่งผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจไทยบ้าง