นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) กล่าวว่าสถานการณ์ธุรกิจโรงแรมในไทย พบว่าโรงแรมส่วนใหญ่ทั้งระดับไม่เกิน 3 ดาวและระดับ 4 ดาวขึ้นไป มีความแตกต่างด้านรายได้ ซึ่งอาจสูงกว่าหรือใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด-19 เนื่องจากการปรับราคาห้องพักให้สูงขึ้น รวมถึงเน้นทำโปรโมชันเพื่อกระตุ้นยอดขาย
ขณะนี้ โรงแรมอีก 40% ยังมีรายได้ต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด ซึ่งส่วนใหญ่คาดหวังว่าจะมีรายได้กลับมาในไตรมาส 2 ปี 2568 นอกจากนี้ โรงแรมอีกราว 7% ซึ่งส่วนใหญ่ใน 7% นี้เป็นโรงแรมไม่เกินระดับ 3 ดาว ถูกประเมินว่ารายได้จะไม่สามารถกลับมาเหมือนระดับเดิมได้อีกต่อไปแล้ว
สาเหตุที่ทำให้โรงแรมซึ่งมีรายได้ต่ำกว่าช่วงก่อนวิกฤตการณ์โรคโควิด-19 ส่วนใหญ่เป็นผลจากลูกค้ามีความอ่อนไหวต่อการปรับราคาห้อง การแข่งขันในธุรกิจโรงแรมสูง จึงทำให้ปรับราคาห้องพักได้ยาก นอกจากนี้ โรงแรมระดับไม่เกิน 3 ดาว ซึ่งมีอยู่ราว 20% ต้องเจอกับภาวะลูกค้าและยอดจองห้องพักลดลงทั้งคู่
ข้อมูลในเดือนสิงหาคมเกี่ยวกับราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวัน ปรากฎว่า โรงแรมไม่เกิน 3 ดาว โดยส่วนใหญ่มีราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่น้อยกว่า 1,500 บาท มี ราว 50% ของโรงแรมระดับ 4 ดาวมีราคาห้องพักเฉลี่ย 1,500-2,499 บาท ขณะที่ โรงแรมระดับ 5 ดาวขึ้นไป มีกว่า 40% มีราคาห้องพักเฉลี่ยสูงกว่า 5,000 บาท หากพิจารณารายภูมิภาค พบว่าโรงแรมในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ ส่วนใหญ่มีราคาห้องพักเฉลี่ยสูงกว่าภาคอื่น ขณะที่โรงแรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือกว่า 40% มีราคาห้องพักต่ำกว่า 1,000 บาท
ด้านอัตราเข้าพักเดือนกันยายน พบว่าลดลงมาเหลือที่ 50% เทียบจากเดือนสิงหาคมซึ่งอยู่ที่ 62% เมื่อพิจารณาเป็นรายภูมิภาค พบว่าเดือนสิงหาคมนั้น ภาคกลางมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยสูงสุด 71.5% เพิ่มขึ้นจาก 67.8% ของเดือนก่อน ถัดมา คือ ภาคตะวันออกมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 65.5% เพิ่มขึ้นจาก 58.8% ส่วนภาคใต้ 61.2% เพิ่มขึ้นจาก 57.3% สอดรับกับภาคเหนือมีการเข้าพักเป็น 50% เพิ่มขึ้นจาก 42.4% และภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่ 36.1% ลดลงจาก 44.4%
ด้านการจ้างงานในเดือนสิงหาคม พบว่าโรงแรมกว่า 40% ยังมีปัญหาขาดแคลนแรงงาน ซึ่งส่วนใหญ่กระทบเพียงคุณภาพการให้บริการ แต่ไม่กระทบความสามารถในการรองรับลูกค้า โดยโรงแรมในภาคกลางมีปัญหาขาดแคลนแรงงานมากกว่าภาคอื่น