ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2024 ตามเวลาในสหรัฐอเมริกา ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เพิ่มขึ้น 0.45% ส่งผลแข็งค่าสูงสุดในรอบ 1 ปี หรือตั้งแต่พฤศจิกายนปี 2023 เป็นต้นมา นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังทะยานแข็งค่าเป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน
สาเหตุจากนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด กล่าวว่าในคืนผ่านมาที่รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ว่า ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงผ่านมาอยู่ในภาวะดีอย่างน่าทึ่ง เศรษฐกิจสหรัฐไม่มีสัญญาณใดๆ ที่ทำให้เฟดต้องเร่งรีบในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ ทำให้เฟดสามารถที่จะพิจารณาการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยด้วยความละเอียดอ่อน และระมัดระวังต่อไป
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของเส้นทางอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่เหมาะสมกับภาวะปกตินั้น เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เฟดจะต้องระมัดระวัง ดังนั้น นี่อาจจะเป็นกรณีที่เฟดชะลอการปรับอัตราดอกเบี้ย เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างความมั่นใจว่าเฟดได้บริหารได้ถูกทาง สำหรับอัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่ปรับลดลงต่อเนื่องเข้าใกล้หาเป้าหมายที่ระดับ 2% นั้น อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องใช้เวลาและในช่วงระหว่างทางนั้น เงินเฟ้อจะมีความผันผวนด้วย
ขณะที่เมื่อวานนี้ 14 พฤศจิกายน 2024 พบว่าค่าเงินบาทร่วงอ่อนค่าทะลุ 35.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐนับตั้งแต่เปิดตลาดในช่วงเช้า ซึ่งเป็นผลจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าสูงสุดในรอบ 7 เดือน เนื่องจากเงินเฟ้อสหรัฐเดือนตุลาคมเร่งตัวขึ้นตามคาดการณ์ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจต้องชะลอการลดดอกเบี้ย เงินบาทเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐปิดตลาดเมื่อวานนี้ที่ระดับ 35.12 บาท ร่วงลง 9 สตางค์ต่อดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับค่าเงินบาทเปิดตลาดในช่วงเช้าวานนี้
ทั้งนี้ นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย (ห้องค้ากสิกรไทย) กล่าวว่าประเมินค่าเงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในฝั่งอ่อนค่าในระยะนี้ ปัจจัยกดดันสำคัญยังคงเป็นนโยบายของทรัมป์ การลดดอกเบี้ยที่ล่าช้าของเฟด ประกอบกับตลาดอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ทำให้ราคาทองมีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่อง โดยประเมินแนวต้านแรกของค่าเงินบาทที่ 35.35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และถัดไปที่ 35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ”