ชาญชัย ถนัดค้าตระกูล กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทยของ Kearney เปิดเผยการสำรวจความเชื่อมั่นดัชนีความเชื่อมั่นด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ประจำปี 2568 (Foreign Direct Investment Confidence Index หรือ ดัชนี FDICI) ซึ่งเป็นผลสำรวจที่สะท้อนมุมมองของนักลงทุนต่อการไหลเวียนของการลงทุน FDI ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ที่รวมถึงมุมมองของนักลงทุนต่อประเทศไทย ปรากฏว่าความเชื่อมั่นของของนักลงทุนต่อภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงอยู่ในระดับสูง แม้จะมีแรงกดดันจากหลายปัจจัยก็ตาม และตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงก็ใต้ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยประเทศไทย มาเลเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ติดอันดับอยู่ใน 15 ประเทศแรกด้านความเชื่อมั่นเชิงบวกสุทธิของนักลงทุน (Net Investor Optimism) ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ประเทศไทยยังคงโดดเด่นในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ โดยรักษาอันดับที่ 5 ด้านความเชื่อมั่นเชิงบวกสุทธิของนักลงทุนในปี 2568
สำหรับ 15 อันดับแรกความเชื่อมั่นเชิงบวกสุทธิของนักลงทุน (Net Investor Optimism) ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ มีดังนี้ 1.ยูเออี 42 คะแนน 2.ซาอุดิอาระเบีย 40 คะแนน 3.จีนรวมฮ่องกง 27 คะแนน 4.บราซิล 18 คะแนน 5.ไทย 18 คะแนน 6.อาเจนติน่า 16 คะแนน 7.มาเลเซีย 6 คะแนน 8.โปแลนด์ 15 คะแนน 9.อินเดีย 14 คะแนน 10.เม็กซิโก 12 คะแนน 11.อียิปต์ 12 คะแนน 12.ตุรกี 9 คะแนน 13.เวียดนาม 8 คะแนน 14. แอฟริกาใต้ 7 คะแนน และ 15.ฟิลิปปินส์ 7 คะแนน คะแนนสุทธิดังกล่าวมาจากคะแนนมุมมองในทางลบหักกับคะแนนมุมมองในทางบวก
สำหรับ 10 อันดับแรกดัชนีความเชื่อมั่นด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ประจำปี 2568 มีดังนี้ 1.จีน อันดับไม่เปลี่ยนแปลง 2.ยูเออี อันดับไม่เปลี่ยนแปลง 3.ซาอุดิอาระเบีย อันดับไม่เปลี่ยนแปลง 4.บราซิล ขึ้น 1 อันดับ 5.อินเดีย ลด 1 อันดับ 6.เม็กซิโก อันดับไม่เปลี่ยนแปลง 7.แอฟริกาใต้ ขึ้น 4 อันดับ 8.โปแลนด์ ลง 1 อันดับ 9.อาเจนติน่า ลด 1 อันดับ และ 10.ไทย ลด 1 อันดับ
การสำรวจดัชนี FDICI ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ได้เปิดตัวครั้งแรกในปี 2566 เพื่อเน้นกลุ่มตลาดเกิดใหม่ที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน FDI ในช่วงสามปีข้างหน้า โดยประเทศไทยได้อันดับที่ 10 จากกลุ่มตลาดเกิดใหม่ทั้งหมด นักลงทุนจำนวนมากระบุว่าทักษะและความสามารถของแรงงานไทยเป็นเหตุผลหลักที่มีความน่าดึงดูดมากที่สุดสำหรับการลงทุนในประเทศไทย (34%) ตามมาด้วยเหตุผลด้านความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (24%) และทรัพยากรธรรมชาติ (24%) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเป็นเหตุผลรองที่มีความน่าสนใจเท่ากัน
ประเทศไทยได้แสดงบทบาทเชิงรุกในการส่งเสริมการลงทุนและลดอุปสรรคในการดำเนินงานของนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตามภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในการดึงดูดเงินลงทุน FDIจากหลายตลาด ทำให้ประเทศจำเป็นต้องเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมและเสริมความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะ และสร้างมาตรการดึงดูดการลงทุนที่ตรงจุดสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย”
นายชาญชัย กล่าวเสริมว่า “มาตรการภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรและอุปกรณ์อุตสาหกรรมรวมถึงยานยนต์ ซึ่งปัจจุบันก็ล้วนต้องเผชิญกับอุปสรรคด้านต้นทุนและข้อบังคับต่าง ๆ ที่มีความท้าทายอยู่แล้ว”
“แม้จะเผชิญความท้าทายต่างๆ ประเทศไทยยังคงรักษาจุดแข็งที่สามารถดึงดูดนักลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐาน ทั้งในด้านบุคลากรที่มีศักยภาพ ความสะดวกในการประกอบธุรกิจ และความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยนโยบายเชิงรุกและมาตรการส่งเสริมการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่เหมาะสม ประเทศไทยจะสามารถปลดล็อกศักยภาพในการสร้างคุณค่าระยะยาว ท่ามกลางสภาพแวดล้อมโลกที่ผันผวนได้” คุณชาญชัยกล่าว
ทั้งนี้ มี 8 ตลาดจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ติด 25 อันดับแรกของโลกในปีนี้ ซึ่งเท่ากับจำนวนที่ติดอันดับเมื่อปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย ญี่ปุ่น (อันดับ 4), จีน (รวมฮ่องกง) (อันดับ 6),ออสเตรเลีย (อันดับ 10), เกาหลีใต้ (อันดับ14), สิงคโปร์ (อันดับ 15), นิวซีแลนด์ (อันดับ16), ไต้หวัน (อันดับ 23) และอินเดีย (อันดับ24)