ไทยพาณิชย์มองมาตรการภาษีจูงใจเอกชนลงทุนยานยนต์ไฟฟ้า แนะโอกาสเอสเอ็มอีเปลี่ยนผ่าน

นางสาวฐิตา เภกานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคาร ไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ชี้ว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์มีทิศทางปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกันกับรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคล สะท้อนจากยอดจดทะเบียนตั้งแต่ปี 2561 – พฤษภาคม 2567 รถบัสไฟฟ้ามีจำนวน 2,567 คัน หรือคิดเป็น 5% ของจำนวนยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด ขณะที่รถบรรทุกไฟฟ้ามีจำนวน 461 คัน หรือประมาณ 0.20% และรถตู้ไฟฟ้ามีจำนวน 434 คัน หรือประมาณ 0.03%

โดยปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในระยะถัดไป คือ แผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกสาขาคมนาคมขนส่ง มาตรการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ โดยสามารถหักภาษีได้ 1.5 – 2 เท่า และภาคเอกชนตื่นตัวกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนส่งแบบ Last Mile และแบบเดลิเวอรี่ ดังนั้น แนวทางการปรับตัวและโอกาสที่เอสเอ็มอีจะคว้าได้จากเทรนด์ยานยนต์ไฟฟ้า ประกอบด้วย 3 แนวทาง ได้แก่ 1. คัดสรรสินค้า/บริการที่ทันสมัยหลากหลายและตอบโจทย์ 2. พัฒนาสินค้า กระบวนการการผลิตและทักษะแรงงานให้สอดรับกับความต้องการในห่วงโซ่อุปทาน และ 3. ขยายโอกาสในการดำเนินธุรกิจร่วมกับผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ที่หันมาให้ความสำคัญกับประเด็นความยั่งยืนมากขึ้น

นายพูนพัฒน์ โลหารชุน กรรมการสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด ผู้เชี่ยวชาญการให้บริการระบบยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร ทั้งจัดหาเครื่องชาร์จ แพลตฟอร์ม และการบริหารจัดการรอบด้าน (Platform & Soft Management) กล่าวว่า โครงสร้างพื้นฐานของไทยมีความพร้อมอย่างมากในการดึงดูดการลงทุนจากประเทศผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า และด้วยโลจิสติกส์ที่แข็งแรง ส่งผลให้ธุรกิจปรับมาใช้ยานพาหนะในองค์กรในรูปแบบ Fleet เพิ่มมากขึ้น เพราะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในองค์กรอย่างเป็นระบบ

ประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านจากรถขนส่งเชิงพาณิชย์จากเชื้อเพลิงเดิมสู่รถขนส่งไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (EV Commercial Fleet) เป็นจำนวน 1 แสนคันในปี 2030 จากปัจจุบันที่มีเพียง 3,000 คัน ซึ่งเทียบสัดส่วนไม่ถึง 1% ของยานยนต์ไฟฟ้าในไทย และด้วยระบบบริหารจัดการของรถขนส่งไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ที่แตกต่างจากรถไฟฟ้าส่วนบุคคล จากปัจจัยการกำหนดเส้นทาง และการใช้สถานีชาร์จที่มีขนาดแตกต่างกัน สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ การออกแบบด้านวิศวกรรมตั้งแต่ต้นจนจบและใช้แพลตฟอร์มไปใช้เพื่อให้เกิด utilization ที่สูงขึ้น

ทั้งนี้ 5 ปัจจัยหลักที่เอสเอ็มอีต้องคำนึงก่อนตัดสินใจลงทุนใช้ EV Commercial Fleet ประกอบด้วย 1.การวางแผนการดำเนินงาน (Operation Plan) เพื่อให้องค์กรสามารถลดต้นทุนได้สำเร็จในระยะยาวตามเป้าหมายที่วางไว้ 2. การเลือกยานพาหนะ การเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ต้องตอบโจทย์และคุ้มค่าต่อการใช้งานมากที่สุด 3.Charging Infrastructure โครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จไฟฟ้า 4. Energy Management มีระบบจัดการพลังงาน เพื่อช่วยวิเคราะห์ บริหารจัดการ ควบคุม และติดตามการใช้พลังงานไฟฟ้า และ 5.การประเมินต้นทุนโดยรวม ซึ่งผู้ประกอบการต้องวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายแบบครบวงจร

นายวรพจน์ รื่นเริงวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โชเซ่น ดิจิตอล จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์สำเร็จรูประบบควบคุม EV Charger เสริมในประเด็นดังกล่าวว่า บริษัทสามารถช่วยคำนวณต้นทุนให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ตั้งแต่การตั้งสถานีชาร์จ EV และช่วยธุรกิจกำหนดขีดจำกัดของการใช้ Fleet Card เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงาน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันรถบรรทุกไฟฟ้าจะมีต้นทุนสูงกว่ารถที่ใช้แก๊สประมาณ 1.5 เท่า ในต้นทุนพลังงาน และในเชิงการบำรงุรักษา ยานยนต์ไฟฟ้ามีความคุ้มค่าที่ยาวนานกว่าเมื่อเทียบกับรถที่ใช้แก๊ส

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles