ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในปี 2567 หนี้ครัวเรือนไทยอาจเติบโตต่ำกว่า 1.0% เนื่องจากเศรษฐกิจในภาพรวมยังมีสัญญาณฟื้นตัวช้า ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการฟื้นตัวของรายได้ครัวเรือน และความสามารถในการก่อหนี้ก้อนใหม่ ส่งผลให้ปรับประมาณการสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีปี 2567 ลงมาที่กรอบ 88.5-89.5%
หนี้ครัวเรือนไทย เริ่มชะลอการเติบโตลงมานับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 โดยข้อมูลล่าสุด ณ ไตรมาสที่ 2/2567 ยอดคงค้างเงินกู้ยืมภาคครัวเรือนไทยอยู่ที่ 16.32 ล้านล้านบาท เติบโตเพียง 1.3% YoY เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตของหนี้ครัวเรือนที่ต่ำที่สุด นับตั้งแต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เริ่มมีการเผยแพร่สถิติข้อมูลในปี 2546 และชะลอลงต่อเนื่องจากที่เติบโต 4.2% YoY ในไตรมาสที่ 3/2565 โดยการชะลอลงของยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนในช่วงดังกล่าว สะท้อน 4 เรื่องหลัก ได้แก่
- การทยอยหดตัวลงของหนี้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ ซึ่งนับเป็นหนึ่งในประเภทหนี้ Big-Ticket Items ของครัวเรือน โดยหนี้เพื่อซื้อรถยนต์ฯ ของครัวเรือน หดตัวลง 5.8% YoY ในไตรมาสที่ 2/2567 ซึ่งเป็นอัตราการหดตัวที่ลึกที่สุด นับตั้งแต่ฐานข้อมูลหนี้ครัวเรือนแบ่งตามวัตถุประสงค์การกู้เริ่มเผยแพร่ในปี 2555 และเป็นการหดตัวลงตลอด 3 ไตรมาสที่ผ่านมา ขณะที่สัดส่วนหนี้รถยนต์ต่อหนี้ครัวเรือนไทย ลดลงมาอยู่ที่ 10.6% ในไตรมาสที่ 2/2567 จากที่เคยมีสัดส่วนประมาณ 11.5% ต่อหนี้ครัวเรือนไทยในช่วงไตรมาสที่ 3/2565 ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าว สอดคล้องกับภาพการหดตัวลงของตลาดรถยนต์ในประเทศ
- สินเชื่อบ้านปล่อยใหม่ของธนาคารพาณิชย์หดตัวลง ทั้งในส่วนของสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ และที่อยู่อาศัยมือสอง ทั้งแนวราบและอาคารชุด หลังมาตรการผ่อนปรน LTV สำหรับช่วงโควิด-19 สิ้นสุดลงในช่วงสิ้นปี 2565 ขณะที่ยอดคงค้างหนี้อสังหาริมทรัพย์ของภาคครัวเรือนที่ปล่อยโดยสถาบันการเงินทุกประเภท ชะลอลงจากที่เติบโต 5.3% YoY ไตรมาสที่ 3/2565 มาที่ 3.0% YoY ในไตรมาสที่ 2/2567 ซึ่งนับเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุด นับตั้งแต่ฐานข้อมูลหนี้ครัวเรือนแบ่งตามวัตถุประสงค์การกู้เริ่มเผยแพร่ในปี 2555 เช่นกัน
- หนี้เพื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลอื่น (ไม่รวมบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล) ยังคงเร่งตัวขึ้น สวนทางกับหนี้บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ชะลอลง ซึ่งภาพดังกล่าวสะท้อนว่า ครัวเรือนยังพึ่งพาเงินกู้มาบริหารจัดการสภาพคล่องเพื่อกินเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน โดยยอดคงค้างหนี้เพื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลอื่น เร่งขึ้น 4.4% YoY ในไตรมาสที่ 2/2567 เทียบกับเติบโตประมาณ 2.1% YoY ไตรมาสที่ 3/2565 ขณะที่ยอดคงค้างหนี้บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล ขยายตัวเพียง 3.6% YoY ในไตรมาสที่ 2/2567 จากที่เคยโตถึง 15.5% YoY ในไตรมาสที่ 3/2565
- ครัวเรือนเริ่มมีการกู้ยืมเงินผ่านสถาบันการเงินอื่นที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจมากขึ้น ตลอดช่วง 3-6 ไตรมาสที่ผ่านมา อาทิ การกู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ เติบโต 4.0% YoY ในไตรมาสที่ 2/2567 สูงกว่าการกู้ยืมผ่านแบงก์ และ SFIs และการกู้เงินจากกรมธรรม์ประกันที่ทำไว้ (เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง นำเงินบางส่วนมาหมุนใช้จ่าย โดยที่การคุ้มครองหลักจากกรมธรรม์ยังคงไว้อยู่ และไม่ต้องยกเลิกสัญญาของประกันที่ทำไว้) ซึ่งเติบโต 4.3% YoY ในไตรมาสที่ 2/2567 ขณะที่การกู้ยืมจากโรงรับจำนำเพิ่มขึ้นเช่นกันที่ 9.7% YoY ในไตรมาสที่ 2/2567
ทั้งนี้ หากมองในภาพรวม หนี้สินของภาคครัวเรือนไทยในไตรมาส 2/2567 ซึ่งยังคงเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่าอัตราการเติบโตของมูลค่าทางเศรษฐกิจที่วัดจาก Nominal GDP ส่งผลทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี ชะลอลงมาที่ระดับ 89.6% (ต่ำสุดในรอบ 4 ปี) จากระดับ 90.7% ในไตรมาสที่ 1/2567 ย้ำภาพการชะลอตัวต่อเนื่อง หลังจากที่เคยปรับสูงขึ้นไปแตะ 95.5% ต่อจีดีพีในช่วงวิกฤตโควิด-19
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า หนี้ครัวเรือนไทย ยังมีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงที่เหลือของปี 2567 โดยมีความเป็นไปได้ที่อัตราการเติบโตของหนี้ครัวเรือนในปี 2567 จะต่ำกว่า 1.0% ซึ่งเป็นอัตราที่ช้ากว่า Nominal GDP เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในภาพรวมที่ยังมีสัญญาณฟื้นตัวช้า และผลกระทบต่อเนื่องจากช่วงโควิด-19 ล้วนเป็นข้อจำกัดในการฟื้นตัวของรายได้ภาคครัวเรือน ซึ่งย่อมมีผลกระทบต่อเนื่องต่อความสามารถในการก่อหนี้ก้อนใหม่ และความสามารถในการรับมือกับภาระหนี้ก้อนเดิม ทำให้คาดว่าตัวเลขประมาณการสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีในปี 2567 จากคาดการณ์เดิมที่ 90.7% ลงมาที่กรอบ 88.5-89.5% ซึ่งแม้จะต่ำลงเมื่อเทียบกับระดับ 91.4% ต่อจีดีพีในปี 2566 แต่ก็ยังคงสูงกว่า 80.0% ต่อจีดีพี ซึ่งตามการศึกษาของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) พบว่า ระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงกว่า 80.0% ต่อจีดีพีติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพของระบบการเงินได้