ศูนย์วิจัย SCB EIC ในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยรายงานชื่อว่า พลิกโฉมอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทย … ก้าวต่ออย่างไร ในวันที่ลมเปลี่ยนทิศ โดยมีมุมมองเกี่ยวกับการเติบโตของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไทยในภาพรวม พบว่า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยบางส่วนสามารถเติบโตเกาะกระแสไปกับอุปสงค์โลก แต่ยังคงมีสินค้าบางหมวดที่ความต้องการในตลาดโลกเริ่มมีแนวโน้มชะลอลง
ข้อมูลของ Trade map ระบุว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2012-2022) ไทยมีสัดส่วนการส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่ม Power electronics ซึ่งเป็นสินค้าที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดโลกมากขึ้น สะท้อนได้จากการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์และแผง/ตู้ควบคุมระบบไฟฟ้าของไทยไปตลาดโลกมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 0.6% และ 1.5% ในปี 2012 มาอยู่ที่ 1.7% และ 3.1% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด ในปี 2022 ตามลำดับ
สวนทางกลับสินค้ากลุ่มคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ที่มีสัดส่วนการส่งออกในตลาดโลกลดลงมาอยู่ที่ 0.6% ในปี 2022 จาก 1% ในปี 2012 สะท้อนว่าการส่งออกกลุ่มสินค้าคอมพิวเตอร์ของไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยขยายตัวได้จำกัด พบว่า ในช่วงที่ผ่านมาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยยังคงขยายตัวได้ค่อนข้างจำกัดเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง SCB EIC มองว่าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยยังคงเติบโตน้อยกว่าคู่แข่ง โดยหากเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งของไทยจะพบว่าสินค้าที่ไทยมีมูลค่าการส่งออกเป็นมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรก คือ HDD เครื่องใช้ไฟฟ้า และแผงวงจรรวม ซึ่งสินค้า 2 ลำดับแรกอย่าง HDD และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นสินค้าที่โลกมีความต้องการลดลงต่อเนื่อง โดยหากเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามและมาเลเซีย จะพบว่าประเทศเหล่านั้นหันมามุ่งเน้นไปที่การผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงมากขึ้น เช่น ชิป สมาร์ตโฟน และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยขยายตัวได้จำกัดเนื่องมาจาก
1) การลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์หรือสินค้าไฮเทคของไทยอยู่ในระดับต่ำกว่าคู่แข่ง โดยพบว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีของประเทศในอาเซียนและไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ราว 24% และ 19% ต่อปี ตามลำดับ ในช่วงปี 2015-2023 โดยในปี 2023 มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 32,416 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมาเลเซียครองสัดส่วนการลงทุนสูงสุดที่ 53% รองลงมา ได้แก่ เวียดนาม 15%, สิงคโปร์ 14% และไทย 13% ของสัดส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั้งหมด
2) การขาดการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ระดับต้นน้ำ โดยสินค้าส่งออกของไทยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขั้นกลางและขั้นปลาย โดยในปี 2022 พบว่าไทยมีสัดส่วนการส่งออกอุปกรณ์ชิประดับต้นน้ำและกลางน้ำเพียง 1.7% ของสัดส่วนการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์โลก ซึ่งเป็นระดับที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งของไทยอย่างมาเลเซียและเวียดนามที่มีสัดส่วนการส่งออกชิปอยู่ที่ราว 5% และ 4% ตามลำดับ
3) การขาดแคลนแรงงานทักษะสูง เช่น วิศวกรรมเซมิคอนดักเตอร์ นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ โดยจากผลสำรวจความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของ IMD พบว่า ปี 2023 ไทยมีความสามารถในการแข่งขันด้านองค์ความรู้ดิจิทัลและเทคโนโลยีอยู่ในลำดับที่ 41 จากประเทศสมาชิกทั้งหมดที่เข้าร่วมทั้งสิ้น 63 ประเทศ และจัดอยู่ในอันดับ 3 เมื่อเทียบกับประเทศสมาชิกอาเซียนที่เข้าร่วมทั้งหมด 5 ประเทศ
แนวโน้มความต้องการและเทรนด์เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป SCB EIC ได้มีการจำแนกกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำคัญออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้
1) กลุ่มสินค้าที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่องและไทยยังรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ได้ ได้แก่ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ที่เรามองว่าไทยมีแนวโน้มจะมีส่วนแบ่งในตลาดเครื่องปรับอากาศมากขึ้นจากฐานการผลิตเดิมของผู้ผลิตสัญชาติญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่ขยายการลงทุนในไทย รวมถึงผู้เล่นสัญชาติจีนที่เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น
2) กลุ่มสินค้าที่ยังอยู่ในช่วงของการพัฒนาและมีโอกาสปรับไปสู่การผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่มีมูลค่าสูงเพิ่มขึ้น ได้แก่ กลุ่มแผงวงจรรวม เซมิคอนดักเตอร์ และแผงวงจรพิมพ์ ที่ไทยมีสัดส่วนการส่งออกไปตลาดโลกมากขึ้นจากความต้องการในกลุ่ม EVs และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมชิป เช่น เทคโนโลยีการสื่อสารไร้สาย กลุ่มคอมพิวเตอร์และการจัดเก็บข้อมูลที่นำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการประมวลผลข้อมูลเชิงลึก นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มไฟฟ้ากำลังอย่างหม้อแปลงไฟฟ้า สายไฟ/สายเคเบิล ที่มีความต้องสูงขึ้นต่อเนื่องจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการก่อสร้างโรงไฟฟ้า โดยจากข้อมูลของ Bloomberg ระบุว่า ในปี 2023 การผลิตพลังงานไฟฟ้าทั่วโลก 30% หรือราว 1 ใน 3 ของการผลิตพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดมาจากแหล่งการผลิตพลังงานหมุนเวียน
3) กลุ่มสินค้าที่มีความเสี่ยงจากความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงและ/หรือเป็นสินค้าที่ไม่ตอบโจทย์เทรนด์โลก โดยเป็นกลุ่มสินค้าที่การส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวลดลงหรือขยายตัวอยู่ในระดับต่ำในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อีกทั้ง การผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูงยังมีไม่มากนักเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ได้แก่ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบที่ขยายตัวต่ำจากแนวโน้มการลงทุนในกลุ่มสินค้าไฮเทคอย่างซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่น้อยกว่าประเทศคู่แข่งในอาเซียน เนื่องจากไทยยังคงขาดความพร้อมของห่วงโซ่อุปทานการผลิตที่มีความซับซ้อนและแรงงานที่มีทักษะสูง ขณะเดียวกัน ยอดขาย HDD ในตลาดโลกยังคงชะลอลงจากความต้องการ HDD รุ่นเก่าที่ลดลงต่อเนื่อง