ไมโครซอฟท์ชี้ 40 งาน/อาชีพรับผลกระทบเทคโนโลยีเอไอมาก และน้อยในอนาคต

ไมโครซอฟท์ชี้ 40 งาน /อาชีพรับผลกระทบเทคโนโลยีเอไอมาก และน้อยในอนาคต

ไมโครซอฟท์ อินคอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพัฒนาซอฟต์แวร์และระบบบริหารจัดการคลาวด์ชื่อดังระดับโลก เปิดเผยรายงานมีชื่อว่า Occupational Implications of Generative AI ซึ่งเกี่ยวกับการวิเคราะห์เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ ที่ส่งผลกระทบต่องาน หรืออาชีพของคนทำงานทั่วโลก

โดยเฉพาะ 10 อันดับแรก จากทั้งหมด 40 อันดับงาน หรืออาชีพที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด มีดังนี้ 1.เจ้าหน้าที่เจาะเลือด (Phlebotomists) 2.ผู้ช่วยพยาบาล (Nursing Assistants) 3.พนักงานกำจัดสารอันตราย (Harzardous Removal Workers) 4.ช่างทาสี/ฉาบปูน (Plasterer/Painter) 5.ช่างแต่งศพ/ผู้เก็บรักษาศพ (Embalmer) 6.ผู้ควบคุมระบบและเครื่องจักรในโรงงาน (Plant and System Operators) 7.ศัลยแพทย์ช่องปากและขากรรไกร (Oral and Maxillofacial Surgeons) 8.ช่างติดตั้งและซ่อมกระจกรถยนต์ (Automotive Grass Installers and Repairers) 9.วิศวกรเครื่องยนต์เรือ (Ship Engineers) และ 10.ช่างปะ/เปลี่ยนยางรถยนต์ (Tire Repairers and Changers)

ขณะที่ 10 อันดับแรก จากทั้งหมด 40 อันดับงาน หรืออาชีพที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด มีดังนี้ 1.ล่าม/นักแปล(Interpreters/Translators) 2. นักประวัติศาสตร์ (Historians) 3.พนักงานบริการผู้โดยสาร (Passenger Attendants) 4.พนักงานขายภาคบริการ (Sales Representatives of Sales) 5.นักเขียน/นักประพันธ์ (Writers/Authors) 6.ตัวแทนบริการภาคบริการ (Customer Service Representatives) 7.นักพัฒนาโปรแกรมควบคุมด้วยตัวเลข (CNC Tool Programers) 8.พนักงานติดต่อโทรศัพท์ (Telephone Operator) 9.พนักงานขายตัวแทนจำหน่ายตั๋ว และพนักงานธุรการการท่องเที่ยว (Ticket Agents and Travel Clerk) และ 10.ผู้ประกาศการออกอากาศ และดีเจสถานีวิทยุ (Broadcast Announcers and Radio DJs)

ทั้งนี้ ดร.คิแรน ทอมลินสัน นักวิจัยอาวุโส ไมโครซอฟท์ อินคอร์ปอเรชั่น กล่าวว่ารายงานจาก Gallup บ่งบอกว่า พนักงานประจำสำนักงาน หรือมนุษย์ออฟฟิศ เป็นกลุ่มที่ใช้เอไอเพิ่มขึ้นมากที่สุด มี 27% ใช้เอไอเป็นประจำ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2024 ถึง 12% อุตสาหกรรมที่มีการใช้เอไอมากที่สุด คือ เทคโนโลยี (50%) บริการวิชาชีพ (34%) และการเงิน (32%) แรงงานสายการผลิต และพนักงานด่านหน้ามีการใช้เอไอต่ำ และทรงตัวมาถึง 2 ปี จาก 11% ในปี 2023 ลดลงมาเป็น 9% ในปี 2025

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles