แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือกบน.อาจหารือกับกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาขอกรอบวงเงินกู้อีกครั้ง จากปี 2565-2566 ที่รัฐบาลให้กรอบวงเงินกู้ได้ไม่เกิน 1.5 แสนล้านบาท โดยทำเรื่องกู้รวมไปแล้ว 1.05 แสนล้านบาท ยังคงเหลือกู้ได้อีก 45,000 ล้านบาท
ปัจจุบันกองทุนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังเหลือเงินกู้ที่สามารถเบิกจากสถาบันการเงินได้อีก 30,333 ล้านบาท เพื่อใช้เสริมสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนในการดำเนินนโยบายรักษาระดับราคาจำหน่ายปลีกน้ำมันไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตรจนถึง 31 มี.ค. 2567 หรืออีกไม่ถึง 1 เดือนเท่านั้น
สำหรับสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงติดลบที่ -86,074 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2567 ที่ติดลบอยู่ -80,101 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลเกิดจากการนำเงินไปชดเชยราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ทำให้บัญชีน้ำมันติดลบ 39,543 ล้านบาท และนำไปชดเชยราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ทำให้บัญชี LPG ติดลบ 46,531 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่ามีแนวโน้มสูงที่จะติดลบระดับ -100,000 ล้านบาทอีกครั้งภายในเดือน เม.ย. 2567 ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา กองทุนดังกล่าวเคยติดลบสูงสุด -130,000 ล้านบาทเมื่อปี 2565
กองทุนฯมีเงินไหลออกจากกองทุนถึงวันละ 268.64 ล้านบาท เป็นผลจากมาตรการการชดเชยราคาดีเซล และชดเชยราคา LPG ทำให้เงินไหลออก 0.24 ล้านบาทต่อวัน
ทั้งนี้ การประกาศปรับขึ้นราคาขายปลีกอีกลิตรละ 40 สตางค์มีผลตั้งแต่เวลา 05.00 น. ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 นั้น นับเป็นการปรับราคาขายปลีกรวม 9 ครั้งนับตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยเป็นการปรับขึ้นราคาขายกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ครั้งที่ 8 ติดต่อกันรวม +2.70 บาทต่อลิตร หรือ +7.75% ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมมาถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567
