11 มี.ค.ครบ 5 ปี วันประกาศโควิด-19 ขึ้นโรคระบาด ผ่านครบ 5 ปี ทิ้งมรดก 3 สูงให้ทั่วโลก

11 มี.ค.ครบ 5 ปี วันประกาศ โควิด-19 ขึ้นโรคระบาด ผ่านครบ 5 ปี ทิ้งมรดก 3 สูงให้ทั่วโลก

วันที่ 11 มีนาคม 2025 จะเป็นวันครบรอบ 5 ปีที่องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคระบาด หรือ Pandemic เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2020 จากวันนั้นนับเป็นเวลาครึ่งทศวรรษ หรือ 5 ปีผ่านมาที่โรคระบาด โควิด-19 และความพยายามของทุกประเทศทั่วโลกที่จะป้องกันและต่อสู้วิกฤตการณ์โรคระบาดครั้งใหญ่ในหลายทศวรรษ ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์หลายอย่าง เช่น หนี้รัฐบาลสูงเป็นประวัติศาสตร์ ตลาดแรงงานพังเสียหาย พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง ความเหลื่อมล้ำพุ่งและชัดเจน ระบบชำระเงินดิจิตอลแพร่หลาย รูปแบบเดินทางหรือท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลง รูปแบบทำงานหรือค้าขายเกิดขึ้นในระยะไกล ทั้งหมดกลายเป็นการทิ้งมรดกตกทอดมาถึงปัจจุบันให้กับทั่วโลก

3 สูง มรดกต้นทุนสุดแพงของคนทั่วโลก เริ่มจากหนี้สาธารณะสูง หรือหนี้รัฐบาลทั่วโลกสูง ในภาพรวมพุ่งขึ้นถึง 12% ในห้าปีผ่านมา เนื่องจากรัฐบาลล้วนระดมทุนด้วยการกู้หนี้ยืมสินจากการออกพันธบัตรเพื่อให้ได้เม็ดเงินมาทำการกระตุ้นอัดฉีดแก้ไขปัญหาทั้งเฉพาะหน้าและระยะยาวเพื่อที่จะปกป้องความเป็นอยู่ของประชาชนในทุกประเทศท่ามกลางวิกฤตโรคโรคระบาด โควิด-19 ที่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลในประเทศกำลังพัฒนาและในประเทศเกิดใหม่สร้างดีสาธารณะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ภาพรวมของหนี้สาธารณะทั่วโลกในปัจจุบันอยู่ที่ 87% ของจีดีพีโลกสอดรับกับหนี้สาธารณะของประเทศที่พัฒนาแล้วคิดเป็น 107% ต่อจีดีพีโลกและหนี้สาธารณะของประเทศ กำลังพัฒนาหรือในประเทศเกิดใหม่พุ่งขึ้นแตะ 70% ของจีดีพีโลก

เงินเฟ้อสูง ซึ่งเป็นผลจากโรคระบาด โควิด-19 ที่เห็นได้ชัดคือภาวะเงินเฟ้อที่สูงในรอบกว่า 40 ปีในสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้กลายเป็นปัจจัยสำคัญและปัจจัยหลักที่ทำให้ประชาชนชาวอเมริกันตัดสินใจเลือกประธานาธิบดีคนที่ 47 ด้วยเหตุผลจากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่ย่ำแย่ ทั้งในช่วงโรคระบาด โควิด-19 รุนแรงสูงสุดและในช่วงที่ผ่อนคลายลงมา ภาวะเงินเฟ้อในเกือบทุกประเทศทั่วโลกล้วนทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ในช่วงปี 2022

ดอกเบี้ยสูง เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อตัวเลขเงินเฟ้อสูงเป็นประวัติศาสตร์ส่งผลให้ธนาคารกลางเกือบทุกประเทศทั่วโลกปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นทั้งขึ้นไปอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และทั้งปรับขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์เช่นเดียวกัน สอดรับภาวะอันดับความน่าเชื่อถือในการลงทุน หรือเรตติ้งของตราสารหนี้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเกือบทุกประเทศทั่วโลกล้วนถูกประกาศปรับลดลงจากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือการลงทุนชั้นนำทุกค่าย มีผลต่อการระดมทุนของรัฐบาลทุกประเทศ และเอกชนทุกแห่งต้องมีต้นทุน หรือผลตอบแทนจากดอกเบี้ยการลงทุนพุ่งสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 

ฟิทช์ เรตติ้ง เปิดเผยว่า อันดับความน่าเชื่อถือหรือเรตติ้งโดยเฉลี่ยทั่วโลกในปัจจุบันยัคงลดต่ำกว่าถึง 25% จากอันดับเดิมก่อนหน้าที่จะเกิดโรคระบาด โควิด-19 สำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาหรืออยู่ในประเทศเกิดใหม่พบว่า อันดับดังกล่าวตกต่ำลงถึงครึ่งหนึ่ง หรือ 50% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโรคโควิด-19

ธนาคารโลกเปิดเผยว่าวิกฤตการณ์โรคระบาด โควิด-19 สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับตลาดการจ้างงานทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้ครัวเรือนตกอยู่ในภาวะยากจนข้นแค้น และผู้หญิงได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยผู้หญิงที่ทำงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เช่น พนักงานบริการและต้อนรับในโรงแรม สายการบิน ธุรกิจบริการอาหารและเครื่องดื่ม ถูกปลดออกเป็นจำนวนมาก ที่สำคัญ แรงงานผู้หญิงต้องอยู่กับบ้านเป็นเวลานานเพื่อเลี้ยงดูลูกในช่วงมาตรการปิดล็อกดาวน์ที่ยาวนาน

สัดส่วนของประชาชนในวัยแรงงานที่มีตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไปพบว่า ฟื้นตัวขึ้นมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ปัจจุบันอยู่ที่ 61.1% ขณะที่เมื่อเทียบกับในปี 2023 อยู่ที่ 63% และเทียบในปี 1990 สัดส่วนดังกล่าวอยู่สูงถึงเกือบ 66% ความเหลื่อมล้ำทั่วโลกเกิดขึ้นอย่างชัดเจนและรวดเร็ว พบว่า จำนวนประชากรที่อยู่ในระดับเศรษฐีจำนวน 1% ของจำนวนประชากรทั้งหมดทั่วโลกมีรายได้พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโรคโควิด-19

รูปแบบการเดินทาง การท่องเที่ยว และการรับประทานอาหารถึงเครื่องดื่มเปลี่ยนแปลงไปมาก แม้ว่าในปัจจุบันการรับประทานนอกบ้านฟื้นตัวขึ้นก็จริง แต่การทำงานที่บ้านกลายเป็นสิ่งที่ควบคู่กันมาในปัจจุบันโดยเฉพาะในเมืองหลวง และเมืองเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ในกรุงลอนดอน อังกฤษ ยังคงพบว่าการเดินทางด้วยรถบัส และรถไฟฟ้าใต้ดิน ยังคงมีจำนวนลดน้อยลงราว 1 ล้านคนเมื่อเทียบกับก่อนปี 2019 จำนวนเที่ยวการเดินทางของผู้ใช้รถบัสในกรุงลอนดอนเคยมีถึง 170 ล้านในปี 2019 แต่ปัจจุบันมีเพียง 140 ล้าน

สอดรับกับจำนวนเที่ยวการเดินทางของผู้ใช้รถไฟฟ้าใต้ดินในกรุงลอนดอนเคยมีถึง 107 ล้านในปี 2019 แต่ปัจจุบันมีเพียง 87 ล้าน นอกจากนี้ บรรดาแรงงานหรือพนักงานใช้ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะลดน้อยลงชัดเจน ข้อมูลพบว่าแรงงานในวัย 16 ปีขึ้นไปในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2005 มี 4% เคยทำงานจากที่บ้าน แต่ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นเป็น 14% ขณะที่การใช้ระบบขนส่งสาธารณะเคยอยู่ที่ 5% ลดลงมาเหลือที่ 4% ในช่วงเวลาเดียวกัน

ในอุตสาหกรรมการบินทั่วโลกนั้น ไอเอทีเอ เปิดเผยว่า วิกฤติโรคระบาดโควิด-19 สร้างความเสียหายในปี 2020 สูงถึง 175,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 5.95 ล้านล้านบาท หรือดำดิ่งมากถึงกว่า -55% และจำนวนผู้โดยสารทั่วโลกที่เดินทางโดยอากาศยานติดลบลงมากกว่า -60% แต่หลังจากโรคระบาด โควิด-19 ผ่อนคลายและมีการยกเลิกมาตรการข้อจำกัดในการเดินทางและท่องเที่ยวทั่วโลกส่งผลให้อุตสาหกรรมการบินฟื้นตัวขึ้นมา คาดว่าในปี 2025 ทั้งอุตสาหกรรมการบินจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 36,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.24 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะมีจำนวนผู้โดยสารเดินทางหรือท่องเที่ยวสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ถึง 5,200 ล้านคน

อย่างไรก็ตามในครึ่งปีแรกของปี 2023 พบว่าราคาห้องพักในโรงแรมฟื้นตัวขึ้นและมีราคาแพงขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับปี 2019 โดยเฉพาะทวีปโอเชียเนีย ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของซีกโลกใต้ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และหมู่เกาะฟิจิ ทองก้า มีราคาเฉลี่ยห้องพักพุ่งสูงถึง 33% ทำสถิติมากที่สุดทั่วโลกตามด้วยอเมริกาเหนือที่ที่ 31% ละตินอเมริกาอยู่ที่ 28% ทวีปยุโรปอยู่ที่ 20% ตามด้วยภูมิภาคตะวันออกกลางอยู่ที่ 19% และทวีปเอเชียเป็นทวีปสุดท้ายอยู่ที่ 6% อย่างไรก็ตาม ในภูมิภาคแอฟริกามีราคาห้องพักโรงแรมติดลบถึง -7%

อัตราการเช่าพื้นที่สำนักงาน พบว่าในสหรัฐอเมริกานั้น พื้นที่ย่านใจกลางธุรกิจ หรือซีบีดี มีอัตราการเช่าสำนักงานตกต่ำลงอย่างรุนแรง ส่งผลให้พื้นที่สำนักงานว่างให้เช่าเพิ่มสูงขึ้นจากในปี 2019 ที่ 13% ขึ้นมาเป็น 18% ในปี 2024 สอดคล้องกับพื้นที่ให้เช่าสำนักงานย่านรอบๆ ตัวเมืองเพิ่มสูงขึ้นจากในปี 2019 ที่ 19% ขึ้นมาเป็น 21% ในปี 2024 ส่งผลให้ทำสถิติพื้นที่ว่างให้เช่าสูงที่สุดถึง 4 ปีติดต่อกันหลังจากผ่านพ้นวิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด-19

ด้านราคาหุ้นของบริษัทให้บริการสั่งและส่งอาหาร รวมถึงบริษัทที่อยู่ในธุรกิจดิจิตอลมีราคาทั้งเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง และมีราคาตกต่ำหลังจาก 5 ปีผ่านไป หรือนับตั้งแต่เกิดวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ราคาหุ้นของ Netflix แพลตฟอร์ม Streaming ภาพยนตร์ชื่อดังระดับโลกพบว่ามีราคาหุ้นเติบโตเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2020 จากหุ้นละประมาณ 80 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 2,720 บาท ขึ้นมาเป็นกว่า 320 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 10,200 บาทในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ตรงข้ามกับราคาหุ้นโมเดอน่า(ผลิตวัคซีนกันโรคโควิด-19) ซูม(แอปประชุมทางไกลออนไลน์) เพโลตอน(ยิมออกกำลังกาย) ดิลิเวอร์รี ฮีโร่(แอปสั่งส่งอาหารในแบรนด์ฟู้ดแพนด้า) ล้วนมีรารคาลดต่ำลงในช่วง 4 ปีผ่านมา

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles