รายงานผลประกอบการทั้ง 7 ค่ายรถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่นในช่วงไตรมาสระหว่างเดือนกรกฎาคมคมถึงกันยายนปี 2024 ซึ่งประกอบด้วยโตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน มิตซูบิชิ มาสด้า ซูซูกิ และซูบารุ พบว่ามีกำไรสุทธิรวมกันทั้งหมดอยู่ที่ 840,600 ล้านเยน หรือ 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 192,500 ล้านบาท ซึ่งตกต่ำลงมากถึง -57% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2023 ส่งผลทำสถิติกำไรสุทธิรวมทั้ง 7 แบรนด์ทรุดต่ำครั้งแรกในรอบ 8 ไตรมาสติดต่อกัน หรือในรอบ 2 ปี
สาเหตุจากต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง การแข่งขันในตลาดรถยนต์ที่รุนแรงตลอดเวลา และยอดขายรถยนต์ที่ชะลอตัวต่อเนื่องทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ ซึ่งพบว่ายอดขายรถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่นในทั่วโลกทำได้ที่ 6.01 ล้านคัน ลดลง -4% ในช่วงไตรมาสดังกล่าว
ท่ามกลาง 7 แบรนด์รถยนต์ญี่ปุ่นที่มีกำไรรวมกันตกต่ำครั้งแรกในรอบ 2 ปีนั้น พบว่า มี 2 แบรนด์ที่มีผลดำเนินงานขาดทุนสุทธิในระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน คือ มาสด้า และนิสสัน ค่ายรถยนต์มาสด้าขาดทุนสุทธิ 14,400 ล้านเยน หรือกว่า 3,211 ล้านบาท สอดคล้องกับนิสสันขาดทุนสุทธิ 9,300 ล้านเยน หรือกว่า 2,073 ล้านบาท สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการทำโปรโมชั่นทำยอดขายในตลาดรถยนต์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม มีเพียง 2 ค่ายรถยนต์ ได้แก่ ซูซูกิ และซูบารุ ที่สามารถทำกำไรสุทธิในช่วงไตรมาสดังกล่าว เนื่องจากซูบารุประสบความสำเร็จในยอดขายที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในตลาดสหรัฐ และซูซูกิสามารถเพิ่มยอดขายในตลาดรถยนต์ญี่ปุ่น
ค่าใช้จ่ายอีกส่วนที่ส่งผลให้กำไรสุทธิลดต่ำลงมาจากงบการพัฒนารถรุ่นใหม่ และด้านแรงงาน พบว่า โตโยต้าลงทุนการพัฒนาทรัพยากรบุคคลและการเติบโตของเครือข่ายซัพพลายเออร์เป็นเงินสูงถึง 830,000 ล้านเยน หรือกว่า 185,090 ล้านบาท ส่วนฮอนด้าลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนารถอีวี ส่งผลกระทบผลกำไรหดตัวลงถึง 52,900 ล้านเยน หรือกว่า 11,797 ล้านบาท
ด้านโกลบอล อนาลิติก ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยชื่อดังระดับโลกจากอังกฤษ เปิดเผยว่าความต้องการในตลาดรถยนต์ทั่วโลกในปี 2025 จะขยายตัวที่ 2% ทำให้คาดว่าจะมีจำนวนรถยนต์ใหม่ทั่วโลกที่ 88.45 ล้านคันในปี 2025 ซึ่งการเติบโตดังกล่าวหดตัวอย่างแรงเมื่อเทียบกับในปี 2023 ที่ขยายตัวสูงถึง 10%