ม.ล. ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS เปิดเผยในงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2567 ที่สามารถทำกำไรต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมา มีรายได้รวม 830.6 ล้านบาท กำไรสุทธิ 43.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 295% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จากการเติบโตของธุรกิจด้านการบริการการบิน ที่มีปริมาณเติมน้ำมันอากาศยานเพิ่มขึ้น 15% มาอยู่ที่ 1,197 ล้านลิตร สอดคล้องกับสถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยที่ส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีแรก โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยกว่า 17.5 ล้านคน
นอกจากผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งแล้ว บาฟส์มุ่งมั่นวางรากฐานและโครงสร้างธุรกิจให้แข็งแกร่งและทันสมัย พร้อมขยายการเติบโต ต่อยอดธุรกิจเพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นผู้นำด้านธุรกิจบริการพลังงานอย่างยั่งยืน ด้วย 4 จุดแข็งที่สำคัญ ด้วยความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงินของ BAFS Group ที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 5 ปี (2563-2567) เห็นได้จาก EBITDA ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยอดเติมน้ำมันที่เพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์ว่าสิ้นปีนี้จะสูงถึง 5,100 ล้านลิตร หรือเท่ากับ 84% เทียบกับก่อนโควิด (2562) ความแข็งแกร่งทางโครงสร้างรายได้จากกลยุทธ์กระจายความเสี่ยง โดยบริษัทในเครือกลุ่มบริษัทบาฟส์ สามารถสร้างรายได้ซึ่งส่งผลต่อกำไรสุทธิในส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ เห็นได้ชัดจากรายได้จากค่าบริการขนส่งน้ำมันของ บริษัท บาฟส์ขนส่งทางท่อ จำกัด ที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 27% รวมถึงยอดจำหน่ายรถเติมน้ำมันอากาศยาน ของ บริษัท บาฟส์ อินเทค จำกัด ที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตลาดสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อีกหนึ่งความแข็งแกร่งที่นับเป็นหัวใจสำคัญของบาฟส์ คือ ความพร้อมในการให้บริการและมาตรฐานความปลอดภัย ด้วยประสบการณ์การให้บริการน้ำมันอากาศยานแบบครบวงจรกว่า 40 ปี ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง สุวรรณภูมิ สมุย สุโขทัย และตราด และยังยืนยันความพร้อมที่จะเข้าร่วมกระบวนการคัดเลือกผู้ประกอบการเพื่อให้บริการเติมเชื้อเพลิงอากาศยานในอนาคต และจุดแข็งข้อสุดท้ายคือ ความพร้อมสำหรับอุตสาหกรรมการบินในอนาคต คือการเป็นฟันเฟืองสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมน้ำมันอากาศยานยั่งยืน (SAF) โดยมีจุดยืนในการส่งเสริมให้ตลาดการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืนเป็นไปอย่างเสรี
นอกจากนี้ จากการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวในปี 2567 ที่คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังประเทศไทย 37 ล้านคน และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปี 2568 ที่ระดับ 40 ล้านคน จากโครงการพัฒนาท่าอากาศยานให้มีความพร้อมรองรับการเดินทางที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการเติบโตของธุรกิจสายการบิน การขยายเครือข่ายเส้นทางบินและการขยายฝูงบินของสายการบินต่างๆ หลังจากที่เคยยกเลิกไปในช่วงสถานการณ์โควิด-1 ตลอดจนการสนับสนุนจากภาครัฐ ผ่านนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยว รวมถึงนโยบายยกระดับศักยภาพเป็นศูนย์กลางด้านการบิน (Aviation Hub)พัฒนาสนามบินหลัก สนามบินรองให้รองรับการ Transit ของสายการบิน