Binance Global เปิดเผยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีมีผลงานที่แข็งแกร่ง BTC ทำ ATH ใหม่ที่ 124,000 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ ETH ก็ไม่น้อยหน้า โชว์ฟอร์มเหนือ Bitcoin ด้วยการพุ่งขึ้นถึง 18% เกือบแตะจุดสูงสุดตลอดกาลโดยมีปัจจัยหนุนหลักจาก treasury developments
Bitmine กลายเป็นบริษัทแรกที่ถือ ETH ในคลังเงินทุนองค์กรมากกว่า1 ล้าน ETH (มูลค่าประมาณ 4.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ขณะที่ Stablecoin ยังคงได้รับความสนใจจากตลาดอย่างต่อเนื่องและยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการยอมรับจากสถาบันการเงิน และหลังจากที่มีการบังคับใช้กฎหมาย GENIUS Act
Circle เปิดตัว Arc (บล็อกเชน Layer-1 ที่สร้างขึ้นเพื่อ Stablecoin โดยเฉพาะ) หรือ ข่าววงใน Stripe กำลังพัฒนาบล็อกเชน Layer-1 ชื่อว่า“Tempo” ร่วมกับ Paradigm
อย่างไรก็ตาม มาตรการภาษีแบบ”Reciprocal Tariffs” ของทรัมป์ สร้างรายได้มหาศาลให้รัฐบาลกลาง เก็บภาษีได้ถึง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมเพียงเดือนเดียว
โดยตลาดฟื้นตัวเป็นวงกว้าง หลังจากข้อมูลเงินเฟ้อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า Headline CPI อยู่ที่ 2.7% (เทียบกับที่คาดการณ์ไว้ 2.8%) และ Core CPI อยู่ที่ 3.1% (คาดการณ์ไว้ที่ 3.0%) ตลาดคาดหวังว่า Fed จะเริ่มผ่อนคลายนโยบายในเดือนกันยายน โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 จุดพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม เราจะได้เห็นการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงสั้นๆ เมื่อดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ ที่ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (14 สิงหาคม 2568) พุ่งสูงถึง 0.9% ซึ่งเกินค่าเฉลี่ยจากที่คาดไว้ที่ 0.2% รายงานการประชุม FOMC ในสัปดาห์นี้อาจให้ความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายอัตราดอกเบี้ยในไตรมาส 4 และหลังจากนั้น
สินทรัพย์ดิจิทัลแสดงผลงานได้ดีกว่าสินทรัพย์ดั้งเดิมในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บิตคอยน์ทำ ATH ที่ 123,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วน ETH ทำผลงานได้เหนือกว่า BTC โดยราคาพุ่งขึ้นประมาณ 29% จนเกือบจะทำราคาสูงสุดตลอดกาลได้สำเร็จ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากข่าวการถือครองเป็น ETH Treasury ของบริษัทต่างๆ เคสที่น่าสนใจ เช่น Bitmine ปัจจุบันเป็นบริษัทที่ถือครอง ETH มากกว่า 1 ล้านเหรียญ ( 4.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) และเมื่อวันพุธที่ 13 สิงหาคม เพิ่มจำนวนถือครองอีก 317,126 ETH ซึ่งมีมูลค่าเกือบ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ปัจจุบัน บริษัทที่ถือครอง ETH มีสินทรัพย์รวมกันทั้งสิ้น 3.57 ล้าน ETH ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (คิดเป็น 2.95% ของปริมาณ ETH ที่หมุนเวียนในระบบทั้งหมด)
ขณะที่กระแส ETH กำลังเติบโต Stablecoin ก็ยังคงเป็นที่จับตามองของตลาดและเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้สถาบันทางการเงินต่างๆ เข้ามาในตลาดคริปโตมากขึ้น เช่นCircle เปิดตัว Arc บล็อกเชน Layer-1 เพื่อรองรับมาเพื่อการชำระเงินโดยเหรียญสเตเบิลคอยน์
ข่าววงในหลุดออกมาว่า Stripe กำลังพัฒนา Tempo บล็อกเชน Layer-1 ร่วมกับ Paradigm
Meta Mask ก็เตรียมเปิดตัวเหรียญสเตเบิลคอยน์ mUSD ร่วมกับ Bridge และ M^0 โดยดึง Blackstone มาเป็นแบ็คให้กับโปรเจกต์เหรียญนี้
โดยสินทรัพย์ดิจิทัลมีการเติบโตที่แข็งแกร่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะตลาดที่อยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างรุนแรง บิตคอยน์ได้สร้างสถิติราคาสูงสุดใหม่ตลอดกาลที่ 124,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่ Ethereum ราคาพุ่งขึ้นประมาณ 18% และปิดสัปดาห์ที่ราคาใกล้เคียงกับราคาสูงสุดตลอดกาล ส่งผลให้ Ethereum กลายเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีผลงานดีที่สุดเป็นอันดับสองของปีนี้ เป็นรองแค่ XRP
ขณะที่ Ethereum เริ่มทำผลงานได้ดีกว่า บิตคอยน์แนวโน้มที่เงินลงทุนจะหมุนเวียน (capital rotation) ก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา การหมุนเวียนในตลาดคริปโตนี้มักจะเริ่มต้นจากการที่นักลงทุนขาย บิตคอยน์แล้วย้ายเงินไปสู่ Ethereum จากนั้นจึงย้ายต่อไปยัง Altcoin ตัวหลัก และสุดท้ายก็ไปสู่ Altcoin ที่มีมูลค่าตลาดขนาดเล็กกว่า ใน cycle ที่ผ่านๆ มาเรียกกันว่า “Alt season” การที่สัดส่วนถือครองบิตคอยน์ลดลงเมื่อไม่นานมานี้ ถือเป็นสัญญาณเบื้องต้นที่บ่งชี้ความสนใจในตลาดกำลังย้ายจากสกุลเงินเดิจิทัลที่ใหญ่สุด ไปสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงกว่า
การที่ Bitcoin Dominance ลดลงในช่วงที่ผ่านมา เกิดขึ้นหลังจาก แนวโน้มขาขึ้นที่กินเวลาเกือบสามปีสิ้นสุดลง โดยเพิ่มขึ้นจากประมาณ 39% ในเดือนกันยายน 2022 ไปถึงจุดสูงสุดที่ราว 66% ในเดือนกรกฎาคม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า Altcoin จะสามารถรักษาระดับการเติบโตเมื่อเทียบกับบิตคอยน์ ซึ่งนับเป็น “ทองคำดิจิทัล” ของตลาดได้หรือไม่ หรือว่าค่า Bitcoin Dominance จะฟื้นตัวและพลิกกลับมาเข้าสู่ช่วงขาขึ้นอีกครั้ง
อย่างที่ทราบกันว่าสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูง แต่สเตเบิลคอยน์ยังคงได้รับความสนใจในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันให้สถาบันการเงินต่างๆ เปิดรับเทคโนโลยีคริปโตมากขึ้น ภายหลังการประกาศใช้ GENIUS Act ตลาดได้เห็นหลายๆ โปรเจกต์เกี่ยวกับสเตเบิลคอยน์อย่างต่อเนื่อง
ทั้งสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมและบริษัทคริปโตต่างก็ประกาศกลยุทธ์ที่เกี่ยวกับสเตเบิลคอยน์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการแข่งขันในตลาดนี้กำลังเข้มข้นขึ้นและไม่มีแนวโน้มที่จะลดลงในอนาคตอันใกล้
สำหรับความสัมพันธ์ระหว่าง BTC และ ETC ลดลงจากสัปดาห์ที่ 4 สิงหาคม จาก 0.72 มาอยู่ที่ 0.66 เนื่องจาก ETC เริ่มแซงหน้าสินทรัพย์อันดับหนึ่งอย่างบิตคอยน์
Macro outlook: Fed เตรียมลดดอกเบี้ย ขณะที่ภาษีนำเข้าเป็นแหล่งรายได้สำคัญ
หลังจากที่มีการประกาศข้อมูลเงินเฟ้อในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) อยู่ที่ 2.7% ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.8% และ เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) อยู่ที่ 3.1% ซึ่งสูงกว่าที่คาดไว้ที่ 3.0% ส่งผลให้ตลาดมีความคาดหวังว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้สูงขึ้นถึง 100% ทั้งนี้ ตลาดได้ประเมินราคาไว้ว่า Fed จะลดดอกเบี้ยลง 25 BPS ซึ่งจะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของ Fed นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2024
โดยFed เริ่มส่งสัญญาณความเป็นไปได้ที่จะเริ่มรอบการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งใหม่ แนวคิดของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่ต้องการให้ลดดอกเบี้ยตั้งแต่ต้นปีก็ดูเหมือนจะได้รับแรงสนับสนุนมากขึ้น Scott Bessent รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ย้ำจุดยืน ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ควรจะถูกปรับลดลงอย่างน้อย 1.5% จากระดับปัจจุบันที่ 4.25-4.50% อย่างไรก็ตาม ข้อมูลล่าสุดของ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ ที่ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม ได้เพิ่มความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่อาจยังคงอยู่ โดยตัวเลขที่ออกมาอยู่ที่ 0.9% ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 0.2% อย่างมาก สถานการณ์ดังกล่าวอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ Fed ตัดสินใจใช้นโยบาย “คงดอกเบี้ยในระดับสูงนานขึ้น” (Higher for Longer) ต่อไปก็เป็นได้
นักลงทุนต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะยังคงอยู่กับโอกาสที่ Fed จะใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินมากขึ้น ซึ่งนโนบายนี้อาจได้รับแรงสนับสนุนจากรัฐบาลทรัมป์ หากมีการเปลี่ยนตัวประธาน Fed คนใหม่มาแทน Jerome Powell ที่จะหมดวาระในเดือนพฤษภาคม 2026
นโยบาย “reciprocal tariffs” ของทรัมป์ได้สร้างรายได้ให้กับรัฐบาลกลางอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยในเดือนกรกฎาคมสามารถเก็บภาษีได้สูงถึง 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากกว่าช่วงปลายปีที่แล้วถึงสามเท่า และยังคงมีรายได้ไหลเข้ามาหลายหมื่นล้านดอลลาร์ฯ ต่อเดือน คณะกรรมการเพื่องบประมาณของรัฐบาลกลาง ได้อธิบายว่าเงินที่ไหลเข้ามานี้”มีความหมาย” และ “สำคัญ” มาก โดยเปรียบเทียบว่ามีผลกระทบเทียบเท่ากับการเก็บภาษีเงินเดือนใหม่ หรือการลดงบประมาณกลาโหมลงเกือบ 20%
ยังมีการคาดการณ์ว่าภาษีนำเข้าจะสร้างรายได้สุทธิเพิ่มขึ้นประมาณ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ฯ จนถึงสิ้นสุดวาระของประธานาธิบดีทรัมป์ และจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.8 ล้านล้านดอลลาร์ฯ จนถึงปี 2034 ซึ่งชี้ให้เห็นว่าภาษีนำเข้าเหล่านี้สามารถช่วยลดหนี้สาธารณะจำนวนมหาศาลที่สูงถึง 37 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ได้อย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่ดัชนี S&P 500 และ NYFANG Index ต่างก็ปรับตัวขึ้นช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้น จากความคาดหวังว่า Fed จะเริ่มรอบการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในไม่ช้านี้, ดัชนี DXY (ดอลลาร์สหรัฐฯ) ปรับตัวลดลงในสัปดาห์นี้ ท่ามกลางความคาดหวังเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ยและภาวะที่นักลงทุนเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ,ราคาทองทำทรงตัวตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ ปรับตัวลดลง หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะลดลงจาก 71 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในเดือนกรกฎาคม เหลือเฉลี่ย 58 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2025 ส่วนตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดตราสารหนี้ค่อนข้างทรงตัว