วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) เปิดข้อมูลสุดอินไซต์ของอนาคตตลาดสัตว์เลี้ยงไทย ซึ่งยังคงเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตา โดยผลวิจัยล่าสุดในงาน “Pawssible Society: Pet Society Conference 2025” ชี้คนยุคใหม่หันมาเลี้ยงสัตว์เสมือนสมาชิกครอบครัวมากขึ้น ดันมูลค่าโตแรง คาดปี 69 ทะลุ 1.01 แสนล้านบาท โดยยังพบกลุ่ม Pet Humanization ช้อปไม่อั้นใช้จ่ายสูงสุดเฉลี่ยกว่า 50,500 บาทต่อปี/ตัว ซึ่งกำลังกลายเป็นกำลังซื้อหลักของตลาด พร้อมเปิดตัวไฮไลต์ โมเดลการตลาดสัตว์เลี้ยง 5P – กรอบกลยุทธ์เชิงธุรกิจสัตว์เลี้ยง ซึ่งสะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคและแนวโน้มตลาดสัตว์เลี้ยงยุคใหม่ ประกอบด้วย Premiumization, Prevention, Package, Proactivity และ Protection มุ่งเป้าสร้าง “Peace of Mind” ให้เจ้าของสัตว์เลี้ยง พร้อมชี้ช่องผู้ประกอบการต่อยอดสู่โอกาสทางธุรกิจในอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงไทย
อาจารย์ประเสริฐ ธวัชโชคทวี อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ สาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) กล่าวในงานสัมมนา “Pawssible Society: Pet in the City” ว่าการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมไทยที่ครอบครัวมีขนาดเล็กลง คนรุ่นใหม่ที่ไม่อยากมีลูกเพิ่มขึ้น วิถีชีวิตคนเมืองที่นิยมอยู่คนเดียวมากขึ้น รวมถึงโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ล้วนเป็นปัจจัยส่งเสริมให้คนเมืองหันมานิยมเลี้ยงสัตว์กันมากขึ้น เพราะนอกจากสัตว์เลี้ยงจะน่ารัก มอบความสุขทางใจ และเป็นเพื่อนคลายเหงาได้อย่างดีแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการเลี้ยงลูกจริงๆ จึงทำให้เทรนด์การเลี้ยงสัตว์เสมือน “สมาชิกในครอบครัว” (Pet Humanization) ยังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีสถิติที่น่าสนใจระบุว่าชาว Pet Humanization ยอมใช้จ่ายเงินเพื่อสัตว์เลี้ยงสูงถึง 50,500 บาทต่อปี/ตัว ในขณะที่ Pet Owners ธรรมดามีค่าใช้จ่ายเพียง 7,910 บาทต่อปี/ตัว โดยพฤติกรรมเจ้าของที่พร้อมทุ่มเทและทุ่มทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดของสมาชิกในครอบครัวนี้ นับเป็นแรงหนุนสำคัญที่ทำให้ตลาดสัตว์เลี้ยงไทยเติบโตอย่างรวดเร็วเฉลี่ยปีละ 13.2% จาก 3.3 หมื่นล้านบาทในปี 2562 พุ่งแตะ 9.2 หมื่นล้านบาทในปี 2568 และคาดว่าจะทะลุ 1.01 แสนล้านบาทในปี 2569
กระแสดังกล่าวสะท้อนให้เห็นชัดว่าหัวใจของตลาดสัตว์เลี้ยงวันนี้ ไม่ได้อยู่ที่สินค้าหรือบริการที่ตอบสนองความต้องการดูแลขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังต้องตอบโจทย์ “Peace of Mind” ที่ทำให้เจ้าของมั่นใจว่าสัตว์เลี้ยงจะมีชีวิตที่ดีและอายุยืนยาว ถือเป็นโอกาสทางการตลาดที่สำคัญของผู้ประกอบการและนักการตลาดควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ
จากการเจาะอินไซต์พฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าและบริการของผู้เลี้ยงใน 4 หมวดหลัก ได้แก่ ด้านอาหารสัตว์ (Pet Foods) การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Pet Health & Wellness) ประกันภัยสัตว์เลี้ยง (Pet Insurance) และเทคโนโลยีสำหรับสัตว์เลี้ยง (Pet Tech) มีผลที่น่าสนใจ ดังนี้
-ด้านอาหารสัตว์ (Pet Foods) พบว่า ผู้เลี้ยงตัดสินใจเลือกซื้ออาหารโดยให้ความสำคัญกับคุณภาพวัตถุดิบมากที่สุดถึง 56% ตามด้วยราคาที่เหมาะสม 45% ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ 41% และจากรีวิวและความสะดวกในการซื้อ 20% โดยมีการใช้จ่ายเงินอาหารสัตว์เลี้ยงเฉลี่ยสูงถึง 32,000 บาทต่อปี/ตัว และยังมีกลุ่มที่ยอมจ่ายเงินมากกว่า 36,000 บาทต่อปี/ตัว สูงถึง 30% และยอมจ่ายมากกว่า 120,000 บาทต่อปี/ตัว ซึ่งจัดเป็นกลุ่ม Super Premium Segment ถึง 7.4% โดยมี Gen Y ซึ่งส่วนใหญ่เป็นครอบครัวไม่มีลูก นิยมเลี้ยงสัตว์แทนลูก มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยสูงและสัดส่วน Top Spender มากที่สุด เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาด
– การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Pet Health & Wellness) พบว่าผู้เลี้ยงนิยมพาสัตว์เลี้ยงไปรับบริการด้านสุขภาพที่คลินิกมากที่สุด 63.3% โรงพยาบาลเอกชน 57.1% โดย 3 อันดับบริการยอดนิยม ได้แก่ ฉีดวัคซีน 86.3% ตรวจสุขภาพ 65.3% ทำหมัน 61 % ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการใช้บริการอยู่ที่ประมาณ 10,000 -30,000 บาทต่อปี/ตัว
โดย Gen Z ให้ความสำคัญกับสุขภาพสัตว์มากที่สุด ส่วนเกณฑ์ในการตัดสินใจเลือกสถานพยาบาล ทุก Gen ลงความเห็นตรงกันว่าเลือกจากใกล้บ้าน ราคาสมเหตุสมผล และความเชี่ยวชาญของสัตวแพทย์เป็นหลัก และ 3 บริการสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ Grooming 51.6%, Hotel 18.5% และ Pet Friendly 11.5%
-ประกันภัยสัตว์เลี้ยง (Pet Insurance) พบว่าผู้เลี้ยงสัตว์ 71.4% รู้จักผลิตภัณฑ์ประกันภัยสัตว์เลี้ยงแต่มีเพียง 9% เท่านั้นที่ใช้บริการจริง โดยปัจจัยในการเลือกซื้อ ให้ความสำคัญกับความคุ้มครองครอบคลุม มากที่สุดถึง 75.8% ค่าเบี้ยประกันที่สมเหตุสมผล 60.6% ความง่ายในการเคลมและความสะดวกในการใช้บริการ 57.6% และผู้เลี้ยงส่วนใหญ่ถึง 71 % ต้องการจ่ายค่าเบี้ยประกันไม่เกิน 2,500 บาทต่อปี/ตัว
-เทคโนโลยีสำหรับสัตว์เลี้ยง (Pet Tech) ปัจจุบันยังไม่ค่อยแพร่หลายนัก แต่ได้มีการสำรวจภาพรวมการรับรู้ของผู้บริโภคต่อเทคโนโลยีสัตว์เลี้ยง 5 กลุ่ม พบว่า Smart home device เป็นที่รู้จักมากที่สุด 93% และมีโอกาสเติบโตสูงสุดในตลาด Pet Tech รองลงไป Service & Commerce Platforms 78%, Health and Nutrition 77%, Behavior & Emotion Tech 67% และ Genetic & Bio Tech 64% โดย Baby Boomers & Gen X 67% พร้อมเปิดใจและอยากทดลองใช้ ในขณะที่ Gen Y และ Gen Z 24% อยากลองเทคโนโลยีเพื่อความสะดวก และ 34% พร้อมจ่ายเพื่อความสะดวกสบายของสัตว์เลี้ยง ส่วนความคาดหวังที่ต้องการได้จาก Pet Tech สูงสุด คือ ทำให้รู้สึกใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยงแม้ไม่ได้อยู่ด้วย โดย Gen Z ให้ความสนใจกับ Pet Tech มากที่สุดเนื่องจากเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการสร้างความผูกพันทางอารมณ์กับสัตว์เลี้ยง