CPF แนะ รัฐอุ้มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารไทย ทั้งระยะสั้น-ยาว รับมือผลกระทบภาษีทรัมป์ หนุนแก้อุปสรรคการค้า สถานการณ์ไทย-กัมพูชาไม่มีผลกระทบมาก  

นายผกายเนติ์ เล่งอี้ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าได้หารือกับนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ถึงแนวทางการปรับตัวของอุตสาหกรรมอาหารไทยต่อสถานการณ์กีดกันทางการค้า โดยเฉพาะผลกระทบภาษีสหรัฐ  โดยกระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนผู้ส่งออกไทยทั้งในด้านการลดอุปสรรคทางการค้า การเจรจาการค้าเสรี และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีการค้า

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ  กล่าวว่า ความมั่นคงทางอาหารเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญมากขึ้นจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการระบาดของโรคต่าง ๆ เช่น COVID-19 ส่งผลให้ซัพพลายเชนอาหารเปลี่ยนแปลงไป แต่ประเทศไทยยังคงได้เปรียบจากทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ประเทศมีศักยภาพด้านความมั่นคงทางอาหารในระดับโลก ในส่วนของผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ นายประสิทธิ์ชี้แจงว่า ธุรกิจของซีพีเอฟได้รับผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากมีการลงทุนในสหรัฐอเมริกามานานกว่า 10 ปี และมีฐานการผลิตในประเทศอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม บริษัทต้องรับมือกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีนำเข้าวัตถุดิบบางรายการ

รัฐบาลควรเข้ามาช่วยเหลือภาคเอกชนโดยเฉพาะผลกระทบระยะสั้น เช่น ภาษีที่เพิ่มขึ้น 10-20% ซึ่งควรมีมาตรการสนับสนุน อาทิ สินเชื่อพิเศษหรือเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ขณะเดียวกันภาครัฐก็ควรมีแผนระยะยาวในการลดต้นทุนการผลิตของภาคเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร โดยอาจใช้กลไกการลงทุนจากภาคเอกชนหรือหน่วยงานร่วมทุน เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งประเทศไทยควรส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงและขยายตลาด โดยมองว่าการมีพันธมิตรทางธุรกิจที่เข้มแข็งในประเทศปลายทางเป็นสิ่งจำเป็น พร้อมเสนอให้ภาครัฐมีบทบาทในการช่วยเจรจาหาพันธมิตรที่เหมาะสมและสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตลาดต่างประเทศ

ในปีนี้ผลการดำเนินงานของซีพีเอฟยังแข็งแกร่ง คาดว่าไตรมาส 2 ยังมีผลการดำเนินงานที่ดี แม้ว่าราคาหมูจะอ่อนลงตามฤดูกาลที่เข้าหน้าฝน แต่ก็ยังอยู่ในระดับราคาที่สูงกว่าที่บริษัทเคยคิดว่าจะเกิดขึ้นในปีนี้ การดำเนินงานในต่างประเทศ ยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย และบางประเทศดีเกินกว่าที่คาดไว้ เหตุการณ์ในประเทศเวียดนามได้คลี่คลายลงกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

ส่วนความไม่เข้าใจกันระหว่างประเทศกัมพูชากับประเทศไทยนั้น ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบในเชิงลบกับผลการดำเนินงานในประเทศกัมพูชาของบริษัทแต่อย่างใด และบริษัทได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด บริษัทเชื่อว่าด้วยความมุ่งมั่นในการนำระบบงานต่างๆ เข้ามาพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนามาตรฐานการเลี้ยงสัตว์ให้มีความปลอดภัยทางชีวภาพสูงสุด จะทำให้บริษัทมีต้นทุนที่ดี สามารถแข่งขันในตลาดได้ รวมทั้งการพัฒนาไปสู่นวัตกรรมความยั่งยืน จะทำให้บริษัทสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนได้อย่างเหมาะสม

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles