ดูเหมือนว่าภาพรวมธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยจะเริ่มมองเห็นแสงสว่าง อ้างอิงข้อมูลจากวิจัยกรุงศรี ที่ระบุว่าในปี 2567–2569 ธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่มีแนวโน้มการเติบโตในอัตราเฉลี่ยปีละ 5.0–5.5%
สอดคล้องกับผลการสำรวจดัชนี RSI ที่คาดการณ์ภาพรวมธุรกิจค้าปลีกและบริการในปี 2567 ว่ามีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 4.4 ล้านล้านบาท เติบโตราวๆ 3–7% (ขึ้นอยู่กับประเภทของร้านค้าปลีก) เมื่อเทียบกับจีดีพีในปี 2567 ที่คาดว่าจะเติบโต 3.2–3.8%
จากที่กล่าวมา สอดคล้องกับภาพรวมการเติบโตของกลุ่ม ‘เซ็นทรัล รีเทล’ ที่สามารถกวาดรายได้ในครึ่งปีแรก 2567 อยู่ที่ 130,424 ล้านบาท (+6% YOY) และกำไรสุทธิ 3,830 ล้านบาท (+3% YOY) ขณะที่ไตรมาสที่ 2 ปี 2567 ทิศทางยังเป็นบวก โดยทำรายได้ถึง 63,169 ล้านบาท (+5% YOY) มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,660 ล้านบาท (+6% YOY) พร้อมกันนี้ยังได้สยายปีกธุรกิจทั้งในไทย เวียดนาม และอิตาลี พัฒนาไปไกลจนสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างครบวงจร โดยเฉพาะในประเทศไทย ที่ เซ็นทรัล รีเทล เดินหน้าขยายอาณาจักรอย่างต่อเนื่อง ผ่าน 5 กลุ่มธุรกิจหลัก จนปัจจุบันมีห้างร้านในธุรกิจกลุ่มฟู้ดรวม 678 ห้างร้าน กลุ่มแฟชั่น 2,669 ห้างร้าน กลุ่มฮาร์ดไลน์ 476 สาขา กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ 27 แห่ง และกลุ่มเฮลธ์แอนด์เวลเนส 116 สาขา รวมทั้งสิ้นกว่า 4,000 สาขาทั่วประเทศ แบ่งออกเป็น
• ภาคเหนือ เติบโตไม่ยั้งด้วยจำนวนสาขามากถึง 309 แห่ง ผ่านการขยายสาขาท็อปส์และไทวัสดุในจังหวัดสำคัญ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคชาวเหนือได้ทุกกลุ่ม
• ภาคกลาง ยืนหนึ่งด้วยเครือข่ายห้างร้านกว่า 2,272 สาขาทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล พร้อมรองรับการเติบโตของเมืองและการขยายตัวของชุมชนและนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น
• ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บุกหัวเมืองใหม่ตะลุย 431 สาขาทั่วภูมิภาคเน้นการขยายธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่สู่จังหวัดรองและอำเภอสำคัญ เสริมความแข็งแกร่งธุรกิจค้าส่งพร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตผู้บริโภคชาวอีสาน
• ภาคตะวันออก ตอบโจทย์การเติบโตของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ด้วย 441 สาขาในพื้นที่ EEC รองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ การขยายตัวของเมืองอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว
• ภาคใต้ ลุยขยาย 513 สาขาอย่างต่อเนื่องทั่วภูมิภาค ครอบคลุมทั้งเมืองท่องเที่ยวและชุมชนท้องถิ่น ล่าสุดกับการเปิด GO Wholesale สาขาราไวย์ ภูเก็ต ซึ่งเป็นสาขาแรกในภาคใต้
ผลจากการขยายธุรกิจอย่างครอบคลุมทุกภูมิภาคนี้ ส่งผลให้ เซ็นทรัล รีเทล สร้างการจ้างงานให้กับคนไทยในท้องถิ่นต่างๆ ได้มากกว่า 46,000 คน สอดคล้องกับปรัชญาการดำเนินธุรกิจ CRC Care ของ เซ็นทรัล รีเทล ที่มุ่งเน้นการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกภาคส่วน ทั้งชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม รวมทั้งสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกัน
สำหรับก้าวต่อไป เซ็นทรัล รีเทล ยังคงเดินหน้าพัฒนาธุรกิจบนวิสัยทัศน์ ‘CRC OMNI-Intelligence’ ที่สร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมพัฒนาอีโคซิสเต็มที่ยืดหยุ่นและปรับตัวได้รวดเร็วในทุกภูมิภาค เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย พร้อมเตรียมเสริมความแข็งแกร่งในแต่ละภูมิภาครองรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและท่องเที่ยวของรัฐบาล อาทิ Digital Wallet, ฟรีวีซ่า 93 ประเทศ และนโยบาย Ignite Thailand ผ่านแนวทางการดำเนินธุรกิจบนความยั่งยืน 5 ด้าน ได้แก่
1. เดินหน้าเสริมแกร่งอีโคซิสเต็ม และการสร้างการเติบโตร่วมกับพาร์ทเนอร์
2. พัฒนาธุรกิจหลักอย่างต่อเนื่องผ่านการขยายสาขาใหม่และปรับโฉมสาขาเดิม ทั้งในไทย เวียดนามและอิตาลี
3. ผลักดันยอดขายให้เติบโตในทุกช่องทางพร้อมยกระดับแพลตฟอร์มออมนิแชแนลอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร โดยเน้นสินค้าที่มีคุณภาพ ครบครัน และบริการที่ดีที่สุด
4. บริหารธุรกิจอย่างระมัดระวังในช่วงเศรษฐกิจผันผวนด้วย Resilient Ecosystem และธุรกิจ 3C คือ
• Cost บริหารจัดการต้นทุนและค่าค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
• Capex เน้นการลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุดใน Strategic Business
• Cash Flow ขยายขีดความสามารถในการจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้มีความคล่องตัว
5. เสริมศักยภาพให้พนักงานด้วย AI และเทคโนโลยีต่างๆ บนกลยุทธ์ HAI (Human Intelligence + Artificial Intelligence) เพื่อยกระดับการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและรวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้พนักงานทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและผลักดันองค์กรเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน
เมื่อดูจากภาพรวมเศรษฐกิจค้าปลีกที่กำลังเติบโต ประกอบกับความแข็งแกร่งของเครือข่ายเซ็นทรัล รีเทล ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และกลยุทธ์ที่พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า ควบคู่กับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยและการกระตุ้นการจ้างงาน เรียกได้ว่า ก้าวต่อไปของ เซ็นทรัล รีเทล ในฐานะผู้นำค้าปลีก-ค้าส่งของไทย จึงเป็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง