นายกฯ แถลงผลงาน 90 วัน เร่งแก้ปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง หนี้เสีย สั่งลุยนโยบายปี 68 เป็นโอกาสคนไทย ดันไทยเป็น AI Hub รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายเกิดขึ้นแน่ ย้ำเงินดิจิทัล 10,000 บาทเฟส 2 ไม่เกินตรุษจีน

นายก แถลง ผลงาน

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงผลการดำเนินงานของรัฐบาลรอบ 90 วันภายใต้ชื่อ “2568 โอกาสไทย ทำได้จริง” และมอบนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรี โดยมีคณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด เข้าร่วม

โดย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า 90 วัน นับจากวันที่แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ถือเป็นช่วงเวลาการปรับตัว ปรับการทำงาน ในฐานะนายกรัฐมนตรีถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่ได้เข้ามาเรียนรู้ และทำเรื่องต่าง ๆ โดยหลังจากนี้อาจจะมีสิ่งที่แปลกใหม่เกิดขึ้น แต่วันนี้รัฐบาลเราทำงานเป็นทีม เป็นรัฐบาลที่แข็งแรง และมองไปข้างหน้า เพื่ออนาคตของประชาชน การจะเดินหน้าได้อย่างมั่นคง ต้องวางรากฐาน โครงสร้างสำคัญไว้ให้กับประเทศไทยในอีกทศวรรษข้างหน้า เพื่อให้ประเทศไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี รัฐบาลจะสร้างผลงานที่เป็นรูปธรรม จะสร้างสิ่งที่ทุกคนคิดว่าเป็นความฝันให้เกิดขึ้นจริงได้ ทำให้มีนโยบายกินได้อย่างแน่นอน ที่ผ่านมาประเทศไทยอยู่ภายใต้ความขัดแย้งทางการเมืองมานานกว่า 20 ปี และวันนี้ทุกคนพร้อมที่จะเดินต่อไปข้างหน้า และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

ปัญหาแรก คือ ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง ที่ปีนี้เจอปัญหาค่อนข้างหนัก โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือที่มีดินโคลนถล่ม รวมถึงน้ำท่วมในพื้นที่ภาคอีสาน และภาคใต้ ซึ่งจากการลงพื้นที่ไปเห็นด้วยตัวเองทำให้รู้สึกบางอย่างว่า เมื่อมีตำแหน่งที่มีเกียรตินี้แล้ว จะเปลี่ยนแปลง และช่วยเหลือ ประชาชนได้อย่างไรบ้าง ซึ่งการเยียวยาของรัฐถือเป็นสิ่งที่จะช่วยให้ประชาชนเดินหน้าต่อไปได้ ขณะเดียวกันการแก้ปัญหายังไม่บูรณาการ ไม่มีการพูดคุยกัน ดังนั้น สิ่งที่ต้องแก้อันดับแรก คือ เปลี่ยนวิธีคิดแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งอย่างถาวร ทำให้น้ำมีทางออก ทุกฝ่ายต้องมาคุยกัน และอนาคตจะต้องวางแผนในระยะยาว ควบคู่กับการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านที่เกิดปัญหานี้เช่นกัน เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ พร้อมกันนี้ จะแก้กฎหมาย เพื่อให้ประชาชนสามารถขุดลอกคูคลอง นำดินไปขาย เกิดอาชีพ เกิดรายได้ ซึ่งจะศึกษาเรื่องนี้ให้ละเอียด และการขุดลอกคูคลองจะต้องไม่ให้กระทบกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นโอกาสใหม่ที่จะสร้างอาชีพให้กับประชาชนได้

นอกจากนี้ โครงการขนาดใหญ่จะแก้ปัญหาน้ำท่วมได้อย่างดี จึงต้องคิดใหญ่ขึ้น เพื่อแก้ปัญหาระยะยาว ซึ่งมอบหมายให้นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ไปรับผิดชอบเรื่องนี้

ขณะที่ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ตั้งแต่รัฐบาลของนายเศรษฐาทวีสิน ได้กำหนด KPI ไว้ คือ จะต้องทำให้ฝุ่นเกิดขึ้นน้อยที่สุด เช่น จากการควบคุมการเผาไหม้ ซึ่งขณะนี้สามารถควบคุมพื้นที่เผาไหม้ลดลงได้ถึงร้อยละ 50 และจากการเทียบค่าฝุ่นจากปีที่ผ่านมาก็ลดลงค่อนข้างมากเช่นกัน พร้อมกันนี้จะมีนโยบายไม่รับซื้อสินค้าจากการเผาไหม้จากประเทศเพื่อนบ้าน จะต้องจริงจังกับการไม่เผาอ้อย เพื่อแก้ปัญหาที่หมักหมมมานาน และเป้าหมายของรัฐบาล คือ ต้องการคืนอากาศที่ดีให้กับประชาชน คืนสุขภาพที่ดีให้กับประชาชน

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึง ปัญหายาเสพติด ที่ขณะนี้กลับมาระบาดในประเทศอีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดักศักยภาพของคนไทยไว้ ดังนั้น รัฐบาลจะเอาจริงเรื่องนี้และประชาชนต้องช่วยกันตรวจสอบ และเฝ้าสังเกต โดยรัฐบาลจะทำแพลตฟอร์มให้ประชาชนทุกคนสามารถแจ้งเบาะแสแจ้งเกี่ยวกับยาเสพติด โดยข้อความนั้นจะส่งตรงถึงนายกรัฐมนตรี ที่มีการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล และใช้โมเดลจากจังหวัดน่าน และจังหวัดร้อยเอ็ด จากรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ไปพัฒนาในทุกจังหวัดทั่วประเทศ ถ้าสามารถกำจัดอุปสรรคนี้ไปได้ คนไทยจะสามารถกลับมาสร้างอาชีพ และต้องเฝ้าระวังไม่ให้คนหันกลับไปใช้ยาเสพติดอีก โดยขอมอบหมายให้นายภูมิธรรมเวชชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้ดูแลเรื่องนี้

นอกจากนี้ การทะลายทุนผูกขาดเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่รัฐบาลจะแก้ไข เพราะการผูกขาดทำให้ประชาชนจนลง รัฐบาลจะปลดล็อคเรื่องการแก้กฎหมาย ลดขั้นตอนทำให้เกษตรกรมีโอกาสสามารถส่งเข้าออกข้าวได้ด้วยตัวเอง ซึ่งจะช่วยทำให้เอสเอ็มอีกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

ขณะที่ค่าพลังงาน ค่าไฟ ที่มีภาระค่าใช้จ่ายซ่อนอยู่จำนวนมาก ดังนั้น ค่าพลังงานในปีหน้าทั้งหมดจะต้องลดลงอย่างแน่นอนโดยฝากให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานดูแลเรื่องนี้

ขณะเดียวกันจะสร้างโอกาสให้ประชาชนมีธุรกิจของตัวเอง เช่น ตลาดเครื่องดื่มของไทย มีการส่งออกมากกว่าปีละ 70,000 บาท รัฐสามารถเก็บภาษีได้มากกว่า 185,000 ล้านบาท โดยฝากเรื่องนี้ให้กับนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รับผิดชอบเรื่องนี้

ส่วนธุรกิจนอกระบบ ที่ตั้งใจจะนำธุรกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบ เพื่อให้เสียภาษีได้ถูกต้อง เนื่องจากขณะนี้มีมูลค่ามากกว่าร้อยละ 49 ของจีดีพี ซึ่งเป็นช่องทางของมาเฟีย และช่องทางของคอรัปชั่น ทำให้รัฐไม่สามารถปกป้องประชาชนได้ แต่ถ้าทำทุกอย่างให้ถูกต้อง เก็บภาษีได้อย่างเป็นระบบ ก็จะสามารถใช้ภาษีนั้นมาพัฒนาประเทศ โดยมอบให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายประเสริฐ รับผิดชอบเรื่องนี้

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึง การลงทุนในธุรกิจแห่งอนาคต ประเทศไทยจะต้องเป็น AI ฮับของภูมิภาค เพื่อทำให้ต่างชาติเห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อมที่จะดำเนินธุรกิจในอนาคตนี้ ซึ่ง AI จะเป็นโอกาสใหม่ให้กับประชาชน รัฐบาลมีแผนที่จะลงทุนเพิ่มในส่วนของธุรกิจอนาคตทั้ง AI EV และเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งประเทศเรากำลังเริ่มในเรื่องนี้ แม้จะเริ่มช้า แต่ไม่สายเกินไปอย่างแน่นอน เรากำลังสร้างคนไปเรียนรู้ เพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อมสำหรับธุรกิจเรื่องนี้ โดยมอบหมายให้นายประเสริฐ และนายพีรพันธุ์ไปดูแลเรื่องนี้

นอกจากนี้จะทำครัวไทยสู่ครัวโลก โลจิสติกส์ ซอฟต์พาวเวอร์ รวมถึงเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยว เพื่อหาเม็ดเงินใหม่

ทั้งหมดนี้ ถือเป็นโอกาสของประเทศไทยที่จะทำได้จริงปี 2568 จะเป็นปีแห่งโอกาสของคนไทยทุกคน

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ตั้งแต่เล็กจนโตรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อย ๆ นายกรัฐมนตรีไม่ว่าจะเป็นใคร รัฐบาลไม่ว่าจะชุดไหน แต่นโยบายที่ดีจะต้องอยู่คู่กับคนไทย นั่นคือสิ่งที่ตั้งใจ ทุกนโยบายหลังจากนี้ที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 จะนำนโยบายที่ดีในอดีตมาใช้ เช่นโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน โดยจะใช้เงินจากกองสลาก จัดทุนการศึกษาให้เด็กนักเรียนที่เรียนดี เรียนเก่ง ไปเรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศ เพื่อให้มีโอกาส และนำโอกาสนั้นกลับมาสู่ประเทศไทย โครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งซัมเมอร์แคมป์ เพื่อออกไปเรียนซัมเมอร์แคมป์ในช่วงปิดเทอม เพื่อเรียนรู้วัฒนธรรม การเติบโต วิถีชีวิตของคนที่ไม่เหมือนเราโดยสิ้นเชิง ทำให้รู้สึกว่าเปิดโลก สร้างโรงเรียนต้นแบบประจำอำเภอ โดยจะใช้เงินจากกองสลาก เพื่อเตรียมพร้อมเด็กสู่การเติบโตที่เข้มแข็ง แข็งแรง และมีการศึกษาที่ดี โดยจะเริ่มลงทะเบียนในปี 2568 โดยมอบหมายให้นายอนุทิน นายประเสริฐ และนายสุริยะ รับผิดชอบเรื่องนี้

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงโครงการ SML EMPOWERING THAIS กระจายอำนาจสู่ชุมชน ซึ่งรัฐไม่ได้อยากเข้าไปแทรกแซง แต่อยากให้คนในหมู่บ้านมารวมตัวกัน เพื่อหาปัญหา และความต้องการด้วยตัวเอง โดยหลังจากนี้ จะกระจายอำนาจกระจายเงินไปสู่มือประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งโครงการนี้จะเริ่มในปี 2568 และจะเพิ่มเงินในทุก ๆ ปี โดยดูจากผลประกอบการของแต่ละหมู่บ้านว่าสามารถทำเงินมาให้ประชาชนได้มากน้อยแค่ไหน เพื่อทำให้ทุกคนมีสิทธิ์เลือกธุรกิจ และการประกอบอาชีพที่ดีที่สุดให้กับหมู่บ้าน

นอกจากนี้จะมีโครงการซอฟต์โลนให้กับเอสเอ็มอี เพื่อให้เอสเอ็มอีกลับมายืนได้อย่างเข้มแข็ง

สำหรับโครงการบ้านเพื่อคนไทย จะใช้พื้นที่ของรัฐที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ มีความครบวงจร เช่น พื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย มาจัดสรรทำเป็นบ้านขนาด 30 ตารางเมตร ให้คนไทยที่ไม่เคยมีที่อยู่อาศัย โดยจะไม่มีเงินดาวน์ แต่จะเป็นการจ่ายค่าเช่าเดือนละ 4,000 บาทผ่อนระยะยาว 30 ปี มีสิทธิ์อยู่ถึง 99 ปี โดยปีหน้าจะมีบ้านตัวอย่างให้ดูขอให้อดใจรอ

ส่วนโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่ขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการรถไฟฟ้าสายสีแดง และสายสีม่วง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชน เพราะเมื่อดูเรื่องการเดินทางของรถไฟฟ้าหากคิดเป็นครั้งก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคิดทุกวันก็เป็นลมเหมือนกัน ดังนั้น ในปีหน้ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายจะมาแน่นอน

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ว่า รัฐบาลมีความเชื่อมั่นมากว่าเราจะเติมเงินเข้าไปในระบบจากสภาวะเศรษฐกิจที่แย่ติดต่อกันหลายปี เพราะเงินในระบบไม่พอ จึงต้องมีการเติมเงินเข้าไป และมีการเติมเงินเข้าไปแล้วหนึ่งครั้งกับกลุ่มแรก 14ล้านคน ทำให้จีดีพีของไทยในไตรมาสที่4 เกิน 3% แน่นอน

ส่วนเฟสที่2 สำหรับผู้สูงอายุ 4 ล้านคนสามารถรับเงิน 10,000 บาทได้ไม่เกินตรุษจีน 2568 ซึ่งนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ได้มารูปแบบของซองอั่งเปา แต่จะมาในรูปแบบของเงินสด

ขณะที่เฟสที่3 สำหรับบุคคลทั่วไป ไม่ได้ให้ในรูปแบบของเงินสดแต่จะให้ในรูปแบบของดิจิทัล ซึ่งก็มีคำถามจากหลายคนว่าทำไมไม่ให้เงินสด เพราะเงินสดง่ายดี แต่ความตั้งใจแรกตั้งแต่เริ่มนโยบายนี้คือการให้แบบดิจิทัลวอลเล็ต และทุกวันนี้ AI เข้ามามีบทบาทมาก นี่จึงเป็นเครื่องมือเชื่อมรัฐบาลกับประชาชน

พร้อมยกตัวอย่าง เช่น การรับเงินเยียวยาหากไม่ใช้ระบบดิจิทัลต้องมีการยืนยันตัวตนนานเป็นเดือน แต่หากใช้ระบบดิจิทัลเข้ามาอาจใช้ระยะเวลาเพียง2-5 วันในการระบุบุคคล พื้นที่ว่าได้รับเงินเยียวยาแล้วหรือยัง จึงถือเป็นโอกาสที่รัฐบาลจะใช้ดิจิทัลวอลเล็ต ในการเปิดทางเชื่อมต่อกับประชาชน และไม่ใช่เพียงการกระตุ้นเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากรัฐอย่างรวดเร็ว และตรงประเด็นมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้แน่นอนว่าในเฟสที่3จะเกิดขึ้นภายในปี 2568 อย่างแน่นอน

นายกรัฐมนตรี ยังพูดถึงการแก้หนี้ครัวเรือน ว่า เป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ เกิดขึ้นแทบทุกครัวเรือ ไม่ว่าจะเป็นหนี้รถยนต์หรือหนี้บ้าน ซึ่ง 2 สิ่งนี้เป็นสิ่งที่โดนยึดตลอด จึงให้เป็นวาระแห่งชาติของรัฐบาล ดังนั้นจึงมีการสร้างความร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารพาณิชย์ ตกลงกันลดการส่งเงินเข้ากองทุนฟื้นฟู 0.23% เป็นเงินกว่า 39,000 ล้านบาทต่อปี และธนาคารพาณิชย์สมทบ 39,00 ล้านบาท เพื่อนำเงินในกองทุนมาพักดอกเบี้ยให้ประชาชน 78,000 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 3 ปี และเงินทุกบาทที่จ่ายจะเป็นการจ่ายเพื่อลดเงินต้น เมื่อจ่ายไปแล้วก็จะทำให้ดอกเบี้ยถูกลงด้วย

”ต่อจากนี้ทุกบาททุกสตางค์ที่ประชาชนทำงานได้จะเป็นการจ่ายเพื่อลดเงินต้น ทำให้ประชาชนสามารถลืมตาอ้าปากได้และพักภาระหนี้สินได้ ในช่วง 2 ปีที่เหลือของรัฐบาลนี้ประชาชนต้องกินดีอยู่ดีเศรษฐกิจต้องดีขึ้น และการสมัครเข้าโครงการนี้จะเกิดขึ้นภายในปี 2568“ นายกรัฐมนตรี ระบุ

จาก 335,000 บัญชี ที่เป็นหนี้เอ็นพีแอลรัฐบาลจะช่วยลดภาระหนี้ตรงนี้ให้หลายคนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นบุคคลที่ทำถูกต้องตามกฏหมายและเดือดร้อนจริงๆโดยมอบหมายให้ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรับผิดชอบ

ช่วงท้ายนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้งหมดนี้คือนโยบายที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 เป็นสิ่งที่เป็นไปได้และจะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม จับต้องได้และเกิดขึ้นอย่างแน่นอน วันนี้คณะรัฐมนตรี ทีมข้าราชการ และประชาชนเราคือทีมเดียวกัน เราทุกคนต่างมีหัวใจเดียวกันนั่นคือหัวใจที่รักประเทศไทย รักประชาชนคนไทย เราจะลดอำนาจของรัฐลงเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนมากยิ่งขึ้นคนไทยมี 66 ล้านคน ราชการมี 3 ล้านคน พอเทียบตัวเลขมีความห่างกันแต่ 3ล้านกว่าคนคือคนไกลที่สำคัญอย่างมากในช่วยการผลักดันประเทศ ขอให้ร่วมมือกันทุกภาคส่วนทำเพื่อ ประเทศไทย คนไทยที่เรารัก วางรากฐานที่เข้มแข็งให้กับลูกหลานของเราในอนาคตอีก 10 ปี 20 ปีขอให้ร่วมกันทำเพื่อประชาชนคนไทยให้ดีที่สุด และเชื่อว่าจะได้เห็นศักยภาพของคนไทย พร้อมย้ำปีหน้าเป็นปีแห่งโอกาสและมีความหวังด้วยกัน

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles