Fitch Ratings ปรับมุมมองประเทศไทย เป็นสัญญาณเตือนมองเป็นโจทย์ ‘รัฐบาลอนุทิน’ ดำเนินโยบายการคลังต้องมีเสถียรภาพ

Fitch Ratings ปรับมุมมองประเทศไทย เป็นสัญญาณเตือนมองเป็นโจทย์ 'รัฐบาลอนุทิน' ดำเนินโยบายการคลังต้องมีเสถียรภาพ

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า กรณีที่ Fitch Ratings ประกาศปรับมุมมอง (Outlook) ของไทยจาก Stable เป็น Negative โดยยังคงอันดับเครดิตที่ BBB+ ว่า เป็นโจทย์ของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และกระทรวงทางด้านเศรษฐกิจต้องนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นสำคัญในการทำงาน เพราะกรณีดังกล่าวเสมือนเป็นการเตือนประเทศไทยว่า เริ่มเห็นสัญญาณที่ไม่ดีในอนาคต ซึ่งอาจจะเกิดปัญหาตามมาได้ ซึ่งสอดคล้องกับที่สภาอุตสาหกรรม (ส.อ.ท.) และที่ประชุมร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. เคยเสนอแนะไว้ทุกประการอยู่เสมอ ทั้งเรื่องหนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะที่เพิ่มมากขึ้น โดยการที่ฟิทช์ยังไม่ลดอันดับเรทติ้งส์ก็เพราะฐานะทางการเงิน และเงินตราระหว่างประเทศยังเป็นกระแสบวก หรือเรียกว่ายังมีค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น อีกทั้ง แม้ว่าหนี้สาธารณะของไทยจะเริ่มสูงขึ้นใกล้แตะเพดานการก่อหนี้โดยรวม และยังจะมีก่อหนี้เพิ่ม แต่ยังถือว่าโชคดีที่หนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นหนี้ในประเทศ ไม่ใช่หนี้จากต่างประเทศ และต้นทุนของหนี้สาธารณะไทยโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6-7% ซึ่งถือว่าดีกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคซึ่งอยู่ที่ประมาณ 9.2%

มุมมองดังกล่าวของฟิทช์ เรทติ้งส์ เป็นการเตือนเหมือนที่ภาคเอกชนได้มีการสะท้อนไว้ก่อนหน้านี้ หรือเรียกว่าสรุปแล้วมุมมองทั้งคนในประเทศและต่างประเทศเป็นมุมเดียวกัน ฉะนั้น ต้องรีบเร่งในการพัฒนาให้จากมีเสถียรภาพเป็นเชิงลบให้กลับมามีเสถียรภาพ เพราะหากไม่ปรับในระยะยาวไทยก็มีโอกาสถูกปรับเรทติ้งส์ได้ แค่ตอนนี้ยังไม่ปรับ แต่ก็ถือว่ามีความเสี่ยง

สำหรับแนวทางการแก้ไขหลังจากนี้ มองว่านโยบายของกระทรวงการคลังในการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือการใช้งบประมาณจะต้องทำให้ดูมีเสถียรภาพ และรักษาสัดส่วนของหนี้สาธารณะ โดยต้องแก้ตามที่ฟิทช์ เรทติ้งส์แนะนำ มีมุมมองตรงไหนที่เป็นเชิงลบก็รีบเข้าไปแก้ไข เพราะฟิทช์ฯยังมองแนวโน้มไทยเข้มแข็งในเรื่องทุนสำรองระหว่างประเทศ

ส่วนความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งบางครั้งมีการก่อหนี้ มีการใช้มาตรการที่เป็นประชานิยม ซึ่งในมุมมองของต่างชาติเห็นว่าไม่ใช่วิธีที่ดี และเรื่องอุปสงค์ของโลกที่ชะลอตัวกดดันการเติบโต เพราะไทยพึ่งพาการส่งออกมาก อีกทั้งปัจจุบันยังถูกภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ และเรื่องความสามารถในการแข่งขันต่างๆ โดยมุมมองดังกล่าวอาจรวมไปถึงว่า ไทยพึ่งพาต่างชาติมาก แต่มีแต้มต่อน้อย เช่น การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยปีนี้แทนที่จะฟื้นตัวได้ดี แต่จากหกเดือนที่ผ่านมายอดนักท่องเที่ยวจีนหายไปในครึ่งปีแรก 35-40% แม้จะได้ประเทศอื่น ยุโรป อินเดีย อิสราเอลและรัสเซียมาเพิ่ม แต่ในแง่ของจำนวนถือว่าครึ่งปีแรกก็ยังติดลบไปประมาณ 6%

ขณะที่ในครึ่งปีหลังยังมีสภาวะค่าเงินบาทที่แข็งค่ามาก เพราะทำให้เป้าหมายของไทย จากเดิมที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นปีที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) วางไว้ประมาณ 40 ล้านคน ล่าสุดเหลือแค่ 34 ล้านคนเศษ

อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีหนี้ภาคครัวเรือนที่สูงเกือบ 90% แม้ว่าช่วงไตรมาสที่ 1-2 จีดีพี (GDP) ของไทยจะดีขึ้น ขยายตัวขึ้นว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งมีผลทำให้หนี้ภาคครัวเรือนต่อสัดส่วนไม่ไปแตะ 90% เหลือ 87.5-88% แต่เมื่อเทียบแล้วก็ยังถือว่าสูงมาก ก็เป็นแนวโน้มที่ฟิทช์ปรับประมาณการณ์จีดีพีไทยปี 68 อยู่ทีประมาณ 2.2% ส่วนปี 69 อยู่ที่ 1.9% โดยระบุว่าค่ากลางกลุ่มเครดิต BBB+ จะอยู่ที่ประมาณ 2.7%

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles