InnovestX ชี้ตลาดหุ้นไทยคาดหวังนโยบายรัฐบาลใหม่ดันเศรษฐกิจไทย คนละครึ่ง Plus กระตุ้นกำลังซื้อเห้นผลชัดสุด มองเป้า SET ปี69 แตะ 1,400 จุด 

นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย Head of Research Department บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) กล่าวว่า InnovestX มองเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ปี 2569 อยู่ระหว่าง 1,350-1,400 จุด โดยประเมินจากระดับ P/E Ratio ที่ประมาณ 14.5 เท่า ซึ่งอยู่ในกรอบปกติจากค่าเฉลี่ยในอดีตอยู่ที่ 14-16 เท่า โดยการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีอย่างรวดเร็วทำให้ตลาดมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ซึ่งจากสถิติในอดีตหลังแต่งตั้งนายกฯ 1 เดือน ตลาดหุ้นไทยมักปรับขึ้นประมาณ 2.5-5% จากความคาดหวังว่านโยบายรัฐบาลใหม่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยโตดีขึ้นได้ 

เมื่อพิจารณาปัจจัยสนับสนุนดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ ด้านปัจจัยภายนอก ตลาดคลายความกังวลผลกระทบนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจไทย ในระยะสั้น จากอัตราภาษีที่เรียกเก็บอยู่ในระดับเดียวกับประเทศตลาดเกิดใหม่ด้วยกัน และไม่ได้สูงเท่าระดับก่อนการเจรจา ด้านนโยบายการเงินโลก ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่า เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย ด้านปัจจัยในประเทศ เงินเฟ้อที่ไม่สูง และเศรษฐกิจเติบโตค่อนข้างต่ำ นโยบายการเงินน่าจะมีการลดดอกเบี้ยได้ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการเงิน ทำให้มีการประเมินราคาหุ้นเพิ่มขึ้น (P/E expansion) ได้

หากวิเคราะห์กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาลใหม่ คาดว่ามาตรการคนละครึ่ง Plus จะส่งผลชัดเจนที่สุดในการกระตุ้นกำลังซื้อ โดยกลุ่มที่ได้ประโยชน์ คือ กลุ่มค้าปลีก พาณิชย์ เครื่องดื่ม และร้านอาหาร เนื่องจากขนาดการใช้จ่ายไม่สูงมาก ส่วนมาตรการแก้หนี้ หากทำสำเร็จและลดภาระหนี้ได้ กำลังซื้อจะกลับมา ซึ่งจะส่งผลดีกับกลุ่มค้าปลีก ขณะที่การพักชำระหนี้อาจช่วยให้คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น ให้ประโยชน์กับภาคการเงิน ส่วนมาตรการด้านท่องเที่ยว การกระตุ้นท่องเที่ยวเมืองรองและการให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวนำเงินที่ปรับปรุงกิจการ (Renovate) มาลดหย่อนภาษีได้ จะเป็นผลบวกต่อ กลุ่มท่องเที่ยว สายการบิน โรงแรม และค้าปลีก ด้านโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Land Bridge) และรถไฟรางคู่ ด้วยอายุรัฐบาลที่ไม่ได้อยู่ยาว ทำให้รัฐบาลอาจเป็นเพียงผู้วางกรอบ ให้รัฐบาลถัดไปสานต่อมากกว่า จึงเป็นประโยชน์ในเชิง Sentiment ต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง

น.ส.นิสารัตน์ ชมภูพงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายให้คำปรึกษาด้านความมั่งคั่งและการลงทุน SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การที่เราได้ผู้นำใหม่ทั้งนายกฯ และผู้ว่าการ ธปท. รวมทั้งการจัดตั้งรัฐบาลที่มีรัฐมนตรีคนนอกมากขึ้น ทำให้ตลาดการลงทุนในไทยมี Sentiment ที่ดีขึ้นมาก จากความคาดหวังว่า นโยบายการคลังและการเงินน่าจะประสานกันมากขึ้น และแม้รัฐบาลมีอายุเพียง 4 เดือน แต่นโยบายเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่รัฐบาลยกขึ้นมาเป็นเรื่องเร่งด่วน โดยเฉพาะนโยบาย Quick Big Win เช่น คนละครึ่ง Plus และการเติมเงินบัตรสวัสดิการ จะช่วยลดรายจ่ายและค่าครองชีพให้ประชาชน หนุน GDP ไตรมาส 4 ปรับตัวเป็นบวกได้ ส่วนนโยบายการเงินที่ ธปท. ในส่วนของ มาตรการตั้ง AMC คาดว่าจะช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย ผ่อนคลายปัญหาให้กลุ่มคน 3.4 ล้านคนที่เป็นหนี้ได้ ขณะที่ คาดว่า ธปท. มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยเหลือ 1.25% ภายในปลายปีนี้ และมีโอกาสลดดอกเบี้ยเหลือ 1.00% ได้ ช่วงต้นปีหน้า โดยที่ปัญหาเงินฝืดของไทยที่ ผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่ กล่าวถึง เป็นปัจจัยที่ทำให้มี Policy Space ในการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้

สำหรับมุมมองการลงทุน ในไทยนั้น เรามองว่า ตลาดหุ้นไทยเริ่มมี Sentiment ที่ดีขึ้นจากผู้นำใหม่ ประกอบกับกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนเริ่มเห็นการหยุดปรับลดประมาณการลง ทำให้มีโอกาสจะปรับตัวขึ้นตามตลาดโลกได้ จากที่ก่อนหน้านี้ยังทำผลงาน Laggard ตลาดหุ้นโลกอยู่ ส่วนตลาดตราสารหนี้ไทย ในปีนี้ เป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนได้ค่อนข้างดี โดยราคาสะท้อนแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยลงไปค่อนข้างมากแล้ว แม้ช่วงสั้น Bond yield จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นบ้างจากการที่ Fitch ปรับมุมมองของไทยจากมีเสถียรภาพเป็นลบ แต่ยังคง Rating ไว้ที่ระดับเดิมจากความกังวลเสถียรภาพทางการเมือง และเศรษฐกิจไทยที่เติบโตช้า สำหรับในภาพระยะถัดไปที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสปรับตัวลดลงได้อีก ยังหนุนโอกาสการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทย เพียงแต่โอกาสรับผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากราคา อาจมีไม่มากแล้ว เนื่องจาก Bond Yield ปรับลดไปมากแล้วก่อนหน้านี้

ในแง่การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน เรามองว่า นักลงทุนยังควรให้น้ำหนักการลงทุนไปที่ตลาดหุ้นและตราสารหนี้โลกเป็นหลัก ในพอร์ตการลงทุนหลัก (Core Portfolio) เนื่องจาก GDP ตลาดโลกน่าจะดีกว่าตลาดไทย การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดโลกก็น่าจะยังสูงกว่าตลาดหุ้นไทย  นอกจากนี้การลงทุนในตลาดโลกยังช่วยให้เราได้เข้าถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง (Structural Change) ที่เป็นพลังขับเคลื่อนระยะยาว มีอุตสาหกรรมแนวหน้า และบริษัทชั้นนำค่อนข้างมาก เช่น AI, Data Center และ Cloud ซึ่งเป็นธุรกิจสำหรับอนาคต ซึ่งบริษัทจดทะเบียนในไทย มีสัดส่วนในด้านเหล่านี้ไม่มาก อย่างไรก็ตามสามารถลงทุนตลาดหุ้นไทยเป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตหลักได้

สำหรับตลาดตราสารหนี้โลก ยังมีความน่าสนใจ จากการที่ดอกเบี้ย Fed ยังอยู่ในระดับสูงที่ 4-4.25% โดยหากลงทุนในช่วงเวลานี้ นอกจากจะมีโอกาสรับผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงแล้ว ยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Capital Gain) จาก Bond Yield ที่มีโอกาสปรับลดลงตามแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed ในปีนี้ และปีหน้าด้วย ดังนั้นหากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้น แนะนำให้แบ่งสัดส่วนเงินลงทุนไปยังตราสารหนี้โลกได้

กลยุทธ์ลงทุนหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มนั้น เรายังชอบ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่น่าจะเติบโตได้ดี จาก ธีม AI รวมถึงตลาดหุ้นญี่ปุ่น ที่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง และการได้ผู้นำใหม่ น่าจะช่วยให้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มอ่อนค่า จะทำให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่เอเชียได้ประโยชน์ โดยในส่วนของตลาดหุ้นไทย มีโอกาสหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้ ระยะสั้นต้องเลือกลงทุนในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาล เช่น กลุ่มค้าปลีก หรือ กลุ่มการเงิน ส่วนระยะยาว ตลาดหุ้นไทยน่าสนใจในแง่ระดับเงินปันผลที่สูงประมาณ 3.5% โดยให้เลือกลงทุนในหุ้นปันผลสูง หรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ที่อัตราเงินปันผลระดับสูง เฉลี่ยที่ 8-9% ได้ 

**การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles