ดัชนี SET Index หุ้นไทยปิดวันนี้ที่ 1,428.01 จุด ลดลง 2.39 จุด หรือ -0.17% มูลค่าซื้อขายราว 35,571.54 ล้านบาท โดยตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งกรอบแคบอ่อนลง-วอลุ่มบางไร้ปัจจัยใหม่ โดยมีแรงขายหุ้นที่มีประเด็น ESG และแนวโน้มผลงานไม่ฟื้น ผสมกับแรงซื้อหุ้นกลุ่มส่งออก ส่วนปัจจัยต่างประเทศยังกังวลสงครามการค้ากลับมารุนแรงจากนโยบาย “ทรัมป์” และเฟดอาจลดดอกเบี้ยช้า ดัชนีทำจุดต่ำสุด 1,421.96 จุด และจุดสูงสุด 1,433.61 จุด
สำหรับ 3 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด ได้แก่
- BDMS ปิดที่ 25.75 บาท ปิดไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 2,409.07 ล้านบาท
- TRUE ปิดที่ 11.20 บาท ลดลง -0.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,602.73 ล้านบาท
- CPALL ปิดที่ 61.75 บาท ปิดไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 1,578.87 ล้านบาท
บล.กรุงศรี ระบุว่าในระยะสั้นมองตลาดหุ้นไทยพยายามสร้างฐานจากปัจจัยต่างประเทศที่มีทั้งบวกและลบ โดยปัจจัยบวกคือการเจรจาหยุดยิงระหว่างอิสราเอล–ฮิซบอลเลาะห์ ส่วนปัจจัยลบคือทรัมป์เตรียมปรับเพิ่มภาษีนำเข้า เม็กซิโก แคนาดา 20% จีน 10% ส่วนภายใน ลบคือการประมูลไฟฟ้าหมุนเวียนถูกชะลอ ส่วนบวกคือยอดการนำเข้าสินค้าทุน ต.ค. 24 สูงสุดในรอบปี บ่งชี้ความเชื่อมั่นสัญญาณเศรษฐกิจฟื้นตัว โดยรวมมองหุ้นเด่น คือ หุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบสงครามการค้า
ด้านบล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุว่าตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งกรอบแคบในแดนลบเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุน และปริมาณการซื้อขายเบาบาง โดยกลุ่มหุ้นที่ปรับขึ้นเป็นกลุ่มส่งออกที่ได้รับปัจจัยบวกภาพรวมการส่งออกไทยดีกว่าคาด โดยเฉพาะกลุ่มยาง STA, STGT และกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง ส่วนกลุ่มที่มีแรงขายออกมา เป็นกลุ่มที่นักลงทุนกังวลเรื่อง ESG ได้แก่ TOP, OR อีกทั้งมีแรงขาย SCC, SCGP จากแนวโน้มผลการดำเนินงานยังไม่ฟื้นตัว
ส่วนปัจจัยนอกประเทศยังเป็นเรื่องเดิมที่กังวลสงครามการค้ากลับมาปะทุอีกครั้งหลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมานั่งประธานาธิบดีสหรัฐ รวมถึงการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดคาดว่าจะล่าช้ากว่าเดิม
ขณะที่แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันพรุ่งนี้คาดยังอยู่ในช่วงพักตัว โดยคืนนี้ตลาดสหรัฐปิดทำการเนื่องจากวันขอบคุณพระเจ้า จึงไม่น่าจะมีประเด็นใหม่ๆ และพรุ่งนี้มีการประชุม ครม.สัญจรต้องติดตามว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหรือไม่ ให้แนวรับที่ 1,420 จุด แนวต้าน 1,440 จุด
