ประเทศไทยกำลังมุ่งหน้าไปสู่การเป็นมหาอำนาจด้านดิจิทัล เนื่องด้วยแรงขับเคลื่อนสำคัญจากการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอัตราการใช้งานคลาวด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าตลาด AI ในประเทศไทยจะเติบโตเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 32.33% และมีมูลค่าสูงถึง 7.31 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2031
แม้ในปัจจุบันมีองค์กรไทยที่นำ AI มาใช้งานเพียงประมาณ 17.8% แต่คาดว่าจะเกิดการเร่งตัวครั้งใหญ่ในไม่ช้า เมื่อภาคธุรกิจเริ่มตระหนักถึงพลังของ Generative AI ที่สามารถยกระดับการทำงานและสร้างนวัตกรรมได้อย่างก้าวกระโดด การขยายตัวของเทคโนโลยีดิจิทัลในไทยสอดคล้องกับความต้องการด้านอธิปไตยข้อมูลและบริการคลาวด์ภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งกำหนดให้ข้อมูลที่สร้างขึ้นในประเทศ จะต้องถูกจัดเก็บและประมวลผลภายในเขตแดนประเทศเท่านั้น ขณะเดียวกัน ตลาดไซเบอร์ซีเคียวริตี้ก็กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 894.04 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการปกป้องระบบจากภัยคุกคามที่มีความซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อ AI ไฮบริดคลาวด์ และความปลอดภัยทางไซเบอร์มาบรรจบกัน โลกก็จะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการทรานส์ฟอร์มดิจิทัลซึ่งเป็นยุคที่ “โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะ” จะเป็นตัวกำหนดทิศทาง โดยองค์กรต่าง ๆ ต้องเผชิญกับความจริงที่ว่า ข้อมูลนั้นเป็นทั้งขุมพลังสำคัญและความท้าทายในเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ ผู้นำตลาดที่แท้จริงในอนาคตจะไม่ใช่แค่ผู้ที่สามารถสะสมข้อมูลจำนวนมหาศาล แต่คือผู้ที่สามารถเก็บสะสม ใช้ ปกป้อง และเคลื่อนย้ายข้อมูลเหล่านั้นได้อย่างชาญฉลาด
ต่อไปนี้จะเป็นคาดการณ์ด้านเทคโนโลยีในปี 2026 ซึ่งสะท้อนการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่จะกำหนดวิถีที่องค์กรใช้ในการพัฒนานวัตกรรม ดูแลความปลอดภัย และขยายศักยภาพธุรกิจในปี 2026
ปัญญาประดิษฐ์ (AI): จากโครงการทดลอง สู่การใช้งานอย่างแพร่หลายทั่วทั้งองค์กร
คาดการณ์ข้อที่ 1: AI จะก้าวจากโครงการนำร่อง สู่การใช้งานจริงในระดับองค์กร — ขับเคลื่อนด้วยโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลอัจฉริยะ
องค์กรธุรกิจจะเดินหน้าจากการทดลอง ไปสู่การนำ AI มาใช้จริงแบบเต็มสเกลในทุกส่วนของธุรกิจ โดยที่ปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จจะไม่ใช่การมีโมเดลที่ใหญ่ที่สุด หรือข้อมูลที่มากที่สุด แต่คือการมี “ข้อมูลที่รวมศูนย์ บริหารจัดการได้ และเข้าถึงได้อย่างเป็นระบบ” โครงสร้างพื้นฐานข้อมูลอัจฉริยะจะเป็นฐานสำคัญของการเปลี่ยนผ่านนี้ โดยการทำงานอัตโนมัติ ตั้งแต่การจัดสรรและคัดแยกข้อมูล การทำเวกเตอร์ข้อมูล ไปจนถึงการเปิดให้เข้าถึงข้อมูลที่พร้อมต่อการเทรน ปรับแต่ง และนำ AI ไปใช้งานจริงได้ในวงกว้างอย่างมีประสิทธิภาพ
เหตุที่หลายโครงการด้าน AI ล้มเหลวนั้นไม่ใช่เพราะโมเดลไม่ดี แต่เพราะพื้นฐานข้อมูลไม่แข็งแรง ดังนั้น ความสำเร็จของ AI ในยุคถัดไปจะเริ่มจากการแก้โจทย์เรื่องข้อมูลให้มั่นคงก่อนเป็นอันดับแรก
คาดการณ์ข้อที่ 2: Agentic AI จะไม่ได้เป็นเพียงกระแสอีกต่อไป แต่จะสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จับต้องได้จริง
คลื่นลูกใหม่ของ AI จะไม่หยุดอยู่ที่การสร้างคอนเทนต์ แต่จะพัฒนาเป็นระบบที่ ตัดสินใจ ลงมือทำ และเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เพื่อสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจอย่างแท้จริง ระบบเหล่านี้ต้องพึ่งพาการเข้าถึงข้อมูลองค์กรที่มีการกำกับดูแลอย่างรัดกุม รวดเร็ว และเชื่อถือได้ ทั้งบนไฮบริดคลาวด์และระบบภายในองค์กร โดยโครงสร้างข้อมูลแบบรวมศูนย์ การเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันด้าน AI และ AI Engines อย่าง NetApp AI Data Engine จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ไม่ว่าจะใช้งานแบบ on-premise หรือบนคลาวด์ รวมถึงสามารถทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ระดับ hyperscaler ตลอดจน sovereign cloud และ neocloud โดยสถาปัตยกรรมที่สามารถปรับขยายประสิทธิภาพและความจุได้อย่างอิสระจะช่วยให้องค์กรมีความยืดหยุ่น คุ้มค่า และรองรับการขยายตัวของ AI ได้อย่างต่อเนื่องในทุกสภาพแวดล้อม
การทรานส์ฟอร์มสู่คลาวด์: การบริหารเวิร์กโหลดอย่างชาญฉลาดจะขับเคลื่อนคลื่นการเปลี่ยนแปลงระลอกใหม่
คาดการณ์ข้อที่ 1: กลยุทธ์คลาวด์จะพัฒนาไปสู่แพลตฟอร์มข้อมูลที่ปรับแต่งให้เหมาะกับเวิร์กโหลดแต่ละประเภท
องค์กรจำนวนมากได้ก้าวพ้นยุค “นำองค์กรสู่คลาวด์” ไปแล้ว และก้าวต่อไปคือการบริหารเวิร์กโหลดอย่างชาญฉลาดว่าอะไรควรอยู่ที่ใดจึงจะได้ประสิทธิภาพสูงสุด โดยองค์กรจะหันมาใช้แพลตฟอร์มข้อมูลแบบรวมศูนย์ (ไม่ใช่แค่คอนโซลบริหารจัดการ) เพื่อช่วยในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ว่าเวิร์กโหลดไหนควรอยู่บนระบบใด ทั้งในระบบไฮบริดและมัลติคลาวด์ โครงสร้างพื้นฐานข้อมูลอัจฉริยะจะทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริงได้ โดยช่วยให้องค์กรสามารถมองเห็นข้อมูลอย่างต่อเนื่อง มีการกำกับดูแลที่ได้มาตรฐาน และสามารถปรับแต่งประสิทธิภาพได้อย่างเหมาะสม ทั้งในโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรเอง และระบบนิเวศของพันธมิตร
คาดการณ์ข้อที่ 2: อธิปไตยด้านข้อมูลจะปรับโฉมโครงสร้างไอทีทั่วโลก
รัฐบาลในหลายประเทศเริ่มเข้มงวดกับกฎระเบียบที่เกี่ยวกับ “สถานที่จัดเก็บข้อมูล” ทำให้องค์กรและผู้ให้บริการต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแบบ Local หรือ Sovereign Cloud ที่รักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลโดยไม่ขัดขวางนวัตกรรม โดยแพลตฟอร์มข้อมูลอัจฉริยะจะเข้ามาช่วยจัดการกระบวนการด้านความปลอดภัยและกฎหมายแบบอัตโนมัติ ตั้งแต่การเข้ารหัส การจัดการนโยบาย ไปจนถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนด เพื่อให้ทีมงานสามารถโฟกัสกับการสร้างคุณค่าทางธุรกิจมากกว่าการจัดการเอกสารหรือขั้นตอนทางระเบียบต่าง ๆ
CYBER RESILIENCE: ระบบความปลอดภัยไซเบอร์ที่โต้ตอบและปกป้องตัวเองได้
คาดการณ์ข้อที่ 1: ความเร็วในการตรวจจับและกู้คืนจากการโจมตี จะกลายเป็นเกณฑ์มาตรฐานใหม่ด้านความยืดหยุ่นทางไซเบอร์
ภัยคุกคามไซเบอร์ไม่ได้เป็นแค่เหตุการณ์แรนซัมแวร์แบบเดี่ยว ๆ อีกต่อไป แต่พัฒนากลายเป็นการเจาะระบบที่ซับซ้อนและสร้างรายได้หลายต่อ ทั้งการเข้ารหัสข้อมูล เรียกค่าไถ่ และนำข้อมูลไปขายต่อ การขโมยหรือรั่วไหลของข้อมูลจะสร้างความเสียหายรุนแรงไม่แพ้การโจมตีรูปแบบอื่น ซึ่งทำให้องค์กรต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันแบบองค์รวมและการตอบสนองที่รวดเร็วยิ่งขึ้น องค์กรจะต้องการความสามารถในการตรวจจับการละเมิดระบบที่รวดเร็ว แยกส่วนระบบที่ถูกโจมตีแบบอัตโนมัติ และกู้คืนจากข้อมูลที่ “ปลอดภัย” ได้แทบจะทันที โดยโครงสร้างข้อมูลพื้นฐานอัจฉริยะจะเข้ามามีบทบาทกับเทคโนโลยีตรวจจับความผิดปกติ วิเคราะห์เหตุละเมิด และมาตรฐานการเข้ารหัสแบบ Post-Quantum Cryptography เพื่อทำให้มั่นใจว่าระบบความมั่นคงปลอดภัยนั้นยังคงแข็งแกร่ง แม้ภัยคุกคามจะพัฒนาซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ ก็ตาม
คาดการณ์ข้อที่ 2: การกำกับดูแลและความถูกต้องของข้อมูล จะเป็นปัจจัยที่กำหนดอนาคตของ AI ที่เชื่อถือได้
ในระยะถัดไป องค์กรจะให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลข้อมูลอย่างรอบด้าน ตั้งแต่การควบคุมการเข้าถึง ความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว ไปจนถึงการติดตามเส้นทางของข้อมูลตลอดวงจรชีวิตของข้อมูล และเมื่อข้อมูลที่พร้อมต่อการใช้งานกับ AI กลายเป็นหัวใจของการสร้างนวัตกรรม โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะก็จะพัฒนาต่อยอดไปอีกขั้น เพื่อวางรากฐานด้านการกำกับดูแลตั้งแต่ข้อมูลดิบ ไปจนถึงการวิเคราะห์ขั้นสูง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้ในทุกกระบวนการ
ทิศทางโลกดิจิทัลในอนาคต
ยุคใหม่ของผู้นำด้านดิจิทัลจะไม่ได้วัดกันที่ใครมีข้อมูลมากที่สุด แต่เป็นใครที่สามารถนำข้อมูลไปใช้ได้อย่างชาญฉลาดที่สุด ปัจจัยอย่าง AI คลาวด์ ความมั่นคงทางไซเบอร์ และโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่ จะไม่ถูกมองเป็นงานแยกบทบาทอีกต่อไป แต่ต้องเดินไปด้วยกัน เป็นเหมือนพลังที่เชื่อมโยงกันและมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตขององค์กร
ในปี 2026 องค์กรที่จะเติบโตได้ คือองค์กรที่ผสานเชาวน์ปัญญาไว้ในทุกระดับของโครงสร้างข้อมูล ตั้งแต่การจัดการเพื่อลดความซับซ้อน การสร้างความน่าเชื่อถือ ไปจนถึงการเร่งสร้างนวัตกรรม เพราะ “โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะ” จะไม่ใช่เพียงกลไกที่ทำให้เทคโนโลยีเดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ แต่คือกุญแจสำคัญที่ทำให้อนาคตดิจิทัลของประเทศไทยเกิดขึ้นจริงได้